แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลอาญาธนบุรีโดยอาศัยข้อเท็จจริงว่า พยานหลักฐานของโจทก์ไม่พอรับฟังว่าจำเลยทั้งสองเบิกความเท็จหรือน่าจะเบิกความเท็จ เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ห้ามอุทธรณ์ฎีกา จึงไม่รับฎีกาโจทก์
โจทก์เห็นว่า โจทก์ฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องที่ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ และข้อเท็จจริงตามที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยทั้งสองเบิกความเท็จนั้น จะถือว่าโจทก์ได้นำสืบถึงเหตุผลตามความแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 165 แล้วหรือไม่ เพียงใด นอกจากนี้การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จนั้น มิใช่เป็นเรื่องที่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริงฎีกาของโจทก์จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220 โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยทั้งสองแถลงคัดค้าน (อันดับ 70)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 172,177,181 และ 83
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีโจทก์ไม่มีมูลจึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 65)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 66)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องเพราะพยานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยแจ้งความเท็จและเบิกความเท็จมิได้ยกฟ้องเพราะฟ้องโจทก์ไม่ชอบการที่โจทก์อุทธรณ์ว่าฟ้องโจทก์ชอบด้วยกฎหมาย จึงมิใช่อุทธรณ์ที่โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา193 วรรค 2 ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยชอบแล้วฎีกาโจทก์ข้อ 2.1 ที่ว่า ฟ้องโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่จึงไม่เป็นสาระแก่คดีแต่อย่างใด ส่วนฎีกาโจทก์ข้อ 2.2 ที่ว่าโจทก์อุทธรณ์ข้อหาแจ้งความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 172เป็นปัญหาข้อกฎหมายนั้น อุทธรณ์โจทก์ดังกล่าวก็เป็นปัญหาข้อเท็จจริง มิใช่ข้อกฎหมายดังที่อ้าง จึงต้องห้ามอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยจึงชอบอีกเช่นกัน สำหรับฎีกาโจทก์ข้อ 2.3 ที่ว่า ข้อนำสืบของโจทก์ครบถ้วนอันจะทำให้คดีมีมูลแล้วเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220 ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาโจทก์ชอบแล้วให้ยกคำร้อง