แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคแรก จึงไม่รับฎีกา จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ว่า โจทก์ไม่มีสิทธิ ฟ้องคดีนี้เพราะไม่ใช่ผู้ทรงเช็คขณะฟ้องคดีโดยได้รับเงินตามเช็ค และคืนเช็คแก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดมัทธุรนนท์ ไปแล้ว และคดีเป็นอันเลิกกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 และมาตรา 3 เป็นฎีกา ในปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงแห่งคดีแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 การกระทำ ของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษจำคุกกระทงละ 5 เดือน รวมจำคุก 15 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า กระทงแรกและกระทงที่สาม จำคุกกระทงละ 2 เดือน กระทงที่สองจำคุก 1 เดือน รวมจำคุก 5 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 153) จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 154)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ปัญหาที่จำเลยฎีกาว่า ขณะฟ้องโจทก์ได้คืนเช็คแก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดมัทธุรนนท์ และรับเงินตามเช็คไปแล้ว คดีเป็นอันเลิกกัน โจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็ค โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่นำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายฎีกาจำเลยจึงถือได้ว่าเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาจำเลยโดยถือว่าฎีกาจำเลยเป็นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามฎีกา ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ยกคำร้อง