คำสั่งคำร้องที่ 1158/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้มีทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท จึง ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ที่แก้ไขใหม่ฎีกาของโจทก์ในข้อ 1 และ 3 ของโจทก์เป็นการโต้แย้งดุลพินิจ ในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริงตามหลักกฎหมายดังกล่าวส่วนฎีกาในปัญหาข้อ 2 เรื่อง ฟ้องเคลือบคลุมนั้นเป็นปัญหาข้อกฎหมาย เมื่อฎีกาในปัญหาข้อ 1 ต้องห้ามฎีกาฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงแล้ว ฎีกาของโจทก์ในข้อที่ 2จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย จึงไม่รับฎีกา ของโจทก์ทั้งหมด
โจทก์เห็นว่า ฎีกาของโจทก์เป็นปัญหาข้อกฎหมายและปัญหา ข้อเท็จจริง ซึ่งปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาสำคัญเกี่ยวกับคดีนี้ อย่างยิ่ง และการที่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาของ ศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริงก็ยังขัดต่อพยานเอกสารตามเอกสาร หมาย จ.6 ในสำนวนนี้ ซึ่งจำเลยที่ 1 ได้บันทึกยอมรับผิดไว้ ดังนั้นคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์จึงยังคลาดเคลื่อนต่อความเป็นจริง อย่างยิ่ง โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 109)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ร่วมกันใช้เงิน 48,000 บาท ให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่ง ต่อปีคิดจากวันที่ 30 ธันวาคม 2530 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระ เสร็จ ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 8,875 บาท
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษา ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 106)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 109)

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ปัญหาข้อเท็จจริงจะสำคัญหรือไม่มิใช่เหตุที่จะยกขึ้นอ้างให้ฎีกาได้ในเมื่อต้องห้ามมิให้ฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248พระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2534 มาตรา 18 ส่วนปัญหาว่าฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ เมื่อคดีนี้ข้อเท็จจริงยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1แล้วแม้ศาลฎีกาจะวินิจฉัยให้โจทก์ชนะในประเด็นข้อนี้ก็ไม่อาจแก้ไข ผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้จึงไม่เป็น สาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกา ของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ

Share