แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า คดีนี้จำเลยที่ 3 ได้ยื่นฎีกาไว้ตั้งแต่วันที่9 กรกฎาคม 2533 ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานปรากฎชัดแจ้งอยู่ในสำนวนแล้ว ปัญหาการพิจารณาคดีก็ไม่มีข้อยุ่งยากแต่ประการใด การพิจารณาคดีน่าจะเสร็จเด็ดขาดไปโดยรวดเร็ว เพื่อให้การพิจารณาคดีเป็นไปโดยเที่ยงธรรมและรวดเร็ว จึงขอให้ ท่านประธานศาลฎีกาใช้อำนาจตามพระธรรมนูญยุติธรรม มาตรา 10 นั่ง พิจารณาคดีนี้และลงชื่อเป็นองค์คณะในคำพิพากษาด้วย
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนการโอนสิทธิการเช่าสร้างระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 และเพิกถอนสัญญาเช่าสร้างระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 ถ้าไม่สามารถเพิกถอนการโอนสิทธิการเช่าสร้างและสัญญาเช่าสร้างดังกล่าวไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันชดใช้เงิน 3,200,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย ร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้อง ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากเพิกถอนการโอนสิทธิการเช่าสร้าง และสัญญาเช่าสร้างดังกล่าวได้แล้ว แต่จำเลยที่ 1 ไม่สามารถโอน สิทธิการเช่าสร้างดังกล่าวให้โจทก์ได้ไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ให้จำเลยที่ 1แต่เพียงผู้เดียวชดใช้เงิน พร้อมดอกเบี้ยตาม จำนวนที่กำหนดไว้ข้างต้นแก่โจทก์ ฯลฯ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ทำสัญญาให้โจทก์เป็นผู้เช่าที่ดินและตึกพิพาทเป็นเวลา 11 ปี โดยให้ โจทก์เสียค่าธรรมเนียมเช่าสร้างเป็นเงิน 100,000 บาทและ เสียค่าเช่าอัตราเดือนละ 700 บาท ใน 6 ปีแรก ส่วนอีก 5 ปีหลัง ให้เสียค่าเช่า ตามอัตราการเปลี่ยน แปลงของอัตราค่าครองชีพ ซึ่งกำหนดโดยกระทรวงพาณิชย์เป็นหลักเกณฑ์ในการพิจารณาให้แก่ จำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ที่ 3 ต่างฎีกา (อันดับ 161,159)
คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 172)
คำสั่ง
จะพิจารณาดำเนินการให้ตามควรแก่กรณี