แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง โจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ฎีกาโจทก์ทุกข้อเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 จึงไม่รับโจทก์เห็นว่า โจทก์ได้ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า ถ้อยคำกล่าวของจำเลยที่ 1 และข้อความที่พิมพ์โฆษณาในหนังสือพิมพ์รายวันของจำเลยที่ 2 นั้น จะเป็นการหมิ่นประมาททำให้โจทก์เสียหายหรือไม่โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ด้วย
หมายเหตุ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
โจทก์ฟ้องและแก้ไขเพิ่มเติมขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59,83,326,328,332 และพระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ. 2484 มาตรา 48,49 กับให้จำเลยทั้งสามประกาศขอขมาและแก้ข่าวให้โจทก์ทางหน้าหนังสือพิมพ์ของจำเลย และในหนังสือพิมพ์รายวันอื่นอีก 5 ฉบับ มีกำหนด 7 วัน ติดต่อกันโดยให้จำเลยเป็นผู้ชำระค่าโฆษณา ให้ยึดและทำลายหนังสือพิมพ์ที่มีข้อความหมิ่นประมาทโจทก์ทั้งหมด
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแก้ว เห็นว่าคดีโจทก์มีมูล จึงมีคำสั่งให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับดังกล่าว (อันดับ 220)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 220)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว แม้ฎีกาของโจทก์จะเป็นปัญหาข้อกฎหมายแต่ก็เป็นข้อที่โจทก์มิได้ยกขึ้นว่ากันในชั้นอุทธรณ์ โจทก์จึงไม่อาจจะยกขึ้นฎีกาได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา195 วรรคแรก ประกอบมาตรา 225 และ พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499มาตรา 4 ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง