แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นลงโทษจำคุก 1 ปี ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ฎีกาของจำเลยเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล เป็นปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวจึงไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยในความผิดฐานยักยอก เนื่องจากอายุความตามสิทธิเรียกร้องของโจทก์ระงับ ไปแล้วโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 84 แผ่นที่ 2)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352,353,354
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 354 จำคุก 1 ปี
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 79)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 81)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่ดำเนินการ บังคับคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความภายในสิบปี สิทธิเรียกร้องของโจทก์ระงับไปแล้ว จำเลยได้ครอบครอง ที่ดินพิพาทมานานเกินสิบปี ย่อมได้กรรมสิทธิ์ จำเลยใช้สิทธิ โดยสุจริตไปขอโอนที่ดินมรดกเฉพาะส่วนเป็นของตนเอง หาได้มีเจตนาทุจริตไม่ ไม่เป็นการยักยอกนั้น เห็นว่า ฎีกา ของจำเลยเป็นการโต้เถียงว่า จำเลยไม่มีเจตนากระทำความผิด ฐานยักยอกนั่นเอง เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของจำเลย จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ที่ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของจำเลย นั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง