แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่าจำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงทั้งหมด ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 จึงไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า จำเลยได้ฎีกาว่า การที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยมีและพาอาวุธปืนติดตัวไปโดยไม่ได้รับอนุญาตและชอบด้วยกฎหมายนั้น เป็นการฟังข้อเท็จจริงผิดจากพยานหลักฐานในสำนวนส่วนฎีกาของจำเลยในปัญหาข้อกฎหมายนั้นจำเลยได้ฎีกาว่าการที่ศาลเอาคำรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยมาลงโทษจำเลย เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ฎีกาของจำเลยข้อนี้เป็นข้อกฎหมายอันเป็นสาระสำคัญ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 70)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 7,8 ทวิ,72,72 ทวิ และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371,91 เรียงกระทงลงโทษ ข้อหามีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 1 ปี ข้อหาพาอาวุธปืนติดตัวไปโดยไม่ได้รับอนุญาต ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ,72 ทวิซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 1 ปี 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้างลดโทษให้หนึ่งในสามคงลงโทษจำคุก 1 ปี ริบของกลาง ส่วนข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 7,8 ทวิ วรรคหนึ่ง,72 วรรคหนึ่ง,72 ทวิ วรรคสอง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นจำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 67)จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 70)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ที่จำเลยฎีกาว่าการที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยมีและพาอาวุธปืนติดตัวไปโดยไม่ได้รับอนุญาตและชอบด้วยกฎหมายเป็นการฟังข้อเท็จจริงผิดจากพยานหลักฐานในสำนวนก็ดี และที่จำเลยฎีกาว่าการที่ศาลเอาคำรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยมาลงโทษจำเลยเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาก็ดี ล้วนแต่เป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลในสำนวนทั้งสิ้น จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง