แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับ
โจทก์เห็นว่า ฎีกาของโจทก์เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โดยข้อ 2.1 ฎีกาว่า โจทก์ได้ครอบครองปลูกเรือนอยู่อาศัยในที่พิพาท ตั้งแต่ ก่อนประกาศใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน กรรมสิทธิ์ย่อมเป็นของ โจทก์ เพราะเป็นที่บ้านที่สวน ทางราชการจะมาขึ้นทะเบียนภายหลัง เอาเป็นที่ของทางราชการไม่ว่ากระทรวงศึกษาธิการหรือราชพัสดุ หาได้ไม่ ส่วนข้อ 2.2 ฎีกาว่า โจทก์ได้ยึดถือครอบครอง ที่พิพาท มาเกินกว่า 1 ปี จำเลยย่อมขาดสิทธิครอบครอง ที่พิพาทย่อมเป็น ของโจทก์ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยเพิกถอนทำลายทะเบียนที่ดินพิพาทที่ จำเลยนำไปขึ้นเป็นที่ราชพัสดุ โดยให้โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาท ผู้เดียว ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องที่ดินพิพาทของโจทก์ต่อไป
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 104)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 107)
คำสั่ง
ที่โจทก์ฎีกาในข้อ 2.1 ว่า โจทก์ได้ครอบครองปลูกเรือนอยู่อาศัยในที่พิพาทตั้งแต่ก่อนประกาศใช้ประมวลกฎหมายที่ดินกรรมสิทธิ์ย่อมเป็นของโจทก์เพราะเป็นที่บ้านที่สวน ทางราชการ จะมาขึ้นทะเบียนภายหลังเอาเป็นที่ของทางราชการไม่ว่า กระทรวงศึกษาธิการหรือราชพัสดุหาได้ไม่ และข้อ 2.2 ที่ฎีกาว่าโจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทมาเกินกว่า 1 ปี จำเลยย่อมขาดสิทธิ์ ครอบครอง ที่พิพาทย่อมเป็นของโจทก์ นั้น ฎีกาของโจทก์ทั้งสองข้อ เป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล อันเป็น ปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง