แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น จึงไม่รับ
จำเลยเห็นว่า คดีนี้แม้จำนวนทุนทรัพย์พิพาทไม่เกินห้าหมื่นบาทแต่เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น คดีจึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 นอกจากนี้จำเลยยังได้ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่าเอกสารอันเป็นหลักฐานการกู้ยืมเงินหมาย จ.1 ไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ จึงรับฟัง เป็นพยานหลักฐานของโจทก์ไม่ได้ ซึ่งเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบ เรียบร้อยของประชาชน แม้จะมิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลล่างก็ตาม จำเลยก็ยกขึ้นอ้างอิงในชั้นฎีกาได้ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
จำเลยชำระค่าขึ้นศาลมา 200 บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยใช้เงินต้นและดอกเบี้ยแก่โจทก์รวมเป็นเงิน 13,750 บาท
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 61)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 63)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษา ศาลชั้นต้นจึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ให้รับฎีกาของ จำเลยไว้ดำเนินการต่อไป คืนค่าขึ้นศาลให้จำเลยโดยหักไว้เป็นค่าคำร้อง40 บาท