แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ
ย่อสั้น
คดีที่เอกชนผู้ให้เช่ายื่นฟ้องเอกชนผู้เช่าและหน่วยงานของรัฐว่า ผู้เช่านำที่ดินที่เช่าไปออกหนังสือแสดงการทำประโยชน์ (น.ค. ๓) และขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ทับที่ดินของผู้ให้เช่าแล้วนำไปให้ผู้อื่นเช่าต่ออีกทอดหนึ่ง ขอให้ศาลสั่งเพิกถอน น.ค. ๓, น.ส. ๓ ก. รวมทั้งสิทธิการเช่าเหนือพื้นดินพร้อมทั้งให้ผู้ให้เช่าเป็นเจ้าของที่ดินและสิทธิการเช่า เห็นว่า แม้คดีมีประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวข้องกับการที่หน่วยงานทางปกครองออกเอกสารสิทธิในที่ดินพิพาทก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาความมุ่งหมายของโจทก์ที่ใช้สิทธิทางศาลที่ขอให้เพิกถอน น.ค. ๓ และน.ส. ๓ ก. รวมทั้งสิทธิการเช่า พร้อมทั้งให้โจทก์เป็นเจ้าของและสิทธิการเช่าเหนือพื้นดินของที่ดินแปลงพิพาทก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินที่โจทก์กล่าวอ้างว่าตนมีสิทธิเป็นสำคัญ และในการออกเอกสารสิทธิในที่ดินของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ก็เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดเพื่อให้ผู้มีสิทธิในที่ดินที่แท้จริงได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย การที่กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ จำเลยที่ ๔ อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ จำเลยที่ ๕ กรมที่ดิน จำเลยที่ ๖ และอธิบดีกรมที่ดิน จำเลยที่ ๗ จะปฏิบัติตามคำขอของโจทก์ได้ก็จะต้องดำเนินการไปตามข้อเท็จจริงที่รับฟังได้เป็นยุติ ศาลจึงจำต้องพิจารณาให้ได้ความก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ตามที่กล่าวอ้าง หรือจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ มีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่ากัน แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ย่อยาว
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๗/๒๕๕๗
วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลจังหวัดสีคิ้ว
ระหว่าง
ศาลปกครองนครราชสีมา
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดสีคิ้วส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดีและศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๓ นายพวง สำพันธมิตร หรือสัมพันธมิตร ที่ ๑ กับพวกรวม ๒ คน โจทก์ ยื่นฟ้องนายบันลือศักดิ์ หรือทวน บุญเลี้ยง ที่ ๑ กับพวกรวม ๘ คน จำเลย ต่อศาลจังหวัดสีคิ้ว เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๖๐๗/๒๕๕๓ ความว่า โจทก์ที่ ๑ ซื้อที่ดินมีหลักฐาน ภ.บ.ท. ๖ จากนายคอง หรือควง โชคสูงเนิน นางติ้ว โชคสูงเนิน และนายอินทร์ เชิดสูงเนิน รวม ๕๖ ไร่ ๓ งาน มาตั้งแต่ปี ๒๕๑๓ แล้วทำการแผ้วถางบุกเบิกจนมีที่ดินเกือบ ๑๐๐ ไร่ จึงสมัครเป็นสมาชิกนิคมสร้างตนเองลำตะคอง ซึ่งตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. ๒๕๑๑ กำหนดให้ราษฎรมีที่ดินไม่เกินคนละ ๕๐ ไร่ โจทก์ที่ ๑ จึงได้แบ่งที่ดินส่วนที่เกินให้โจทก์ที่ ๒ ซึ่งเป็นบุตร ต่อมาในปี ๒๕๓๐ และ ๒๕๔๕ โจทก์ทั้งสองย้ายไปอยู่จังหวัดสระแก้วจึงให้จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านเช่าที่ดินดังกล่าว โดยโจทก์ทั้งสองยังคงดูแลพร้อมเก็บค่าเช่า แต่ถูกจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ร่วมกันนำเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๔ และที่ ๕ ไปรังวัดที่ดินโจทก์ทั้งสองเพื่อออกหนังสือแสดงการทำประโยชน์ (น.ค. ๓) โดยจำเลยที่ ๔ และที่ ๕ ออก น.ค. ๓ ให้จำเลยที่ ๒ และ ที่ ๓ ทับที่ดินของโจทก์ทั้งสองซึ่งจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ นำ น.ค. ๓ ไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) โดยจำเลยที่ ๖ ออก น.ส. ๓ ก. ให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ทับที่ดินโจทก์ทั้งสอง และ จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ นำที่ดินตาม น.ส. ๓ ก. ดังกล่าวไปให้บริษัทเขาใหญ่ เนเชอรัลปาร์ค จำกัด เช่าสิทธิเหนือพื้นดินมีกำหนด ๓๐ ปี แต่บริษัทเขาใหญ่ฯ ถูกศาลสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลายและให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขายสิทธิการเช่าที่ดินรวมที่ดินพิพาทซึ่งจำเลยที่ ๘ เป็นผู้ชนะการประมูล การกระทำของจำเลยทั้งแปดทำให้โจทก์ทั้งสองเสียหาย ขอให้ศาลเพิกถอนหนังสือแสดงการทำประโยชน์ (น.ค. ๓) เลขที่ ๔๓๓๖ และเลขที่ ๖๕๖๐ และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๕๐๒๕ และเลขที่ ๕๔๗๓ ตำบลหมูสี อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา และสิทธิการเช่าเหนือพื้นดินของที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าว และให้ที่ดินทั้งสองแปลงและสิทธิการเช่าเหนือพื้นดินทั้งสองแปลงกลับมาเป็นของโจทก์ทั้งสอง
จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ให้การในทำนองเดียวกันว่า คำฟ้องของโจทก์ขาดอายุความและฟ้องเคลือบคลุม จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เข้าครอบครองที่ดินโดยสงบ เปิดเผย และมีเจตนาเป็นเจ้าของ เป็นเวลาเกินกว่า ๕ ปี ทำการสมัครเข้าเป็นสมาชิกนิคมสร้างตนเองและทางราชการได้ออกเอกสารสิทธิแสดงการทำประโยชน์ (น.ค. ๓) จึงเป็นเจ้าของที่ดินโดยชอบและนำพิสูจน์สิทธิการทำประโยชน์ในที่ดิน เพื่อขอให้ทางราชการออกเอกสารสิทธิหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก) โดยชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้องโจทก์
จำเลยที่ ๔ ถึงที่ ๗ ให้การในทำนองเดียวกันว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม และได้ปฏิบัติราชการตามระเบียบ ขั้นตอน และวิธีปฏิบัติตามกฎหมายโดยชอบ ทำการออก น.ค. ๓ ให้กับสมาชิกนิคมซึ่งได้รับการรับรองตามกฎหมาย จึงเป็นการออก น.ส. ๓ ก. โดยชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้องโจทก์
จำเลยที่ ๘ ให้การว่า ฟ้องโจทก์ทั้งสองขาดอายุความ จำเลยที่ ๘ ซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน จึงเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๗ ยื่นคำร้องว่า ข้อพิพาทในคดีนี้อยู่อำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดสีคิ้วพิจารณาแล้วเห็นว่า โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งแปดอ้างว่าจำเลยที่ ๔ ถึงที่ ๘ ได้ออกหนังสือแสดงการทำประโยชน์และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ทับซ้อนกับที่ดินของโจทก์ทั้งสอง จำเลยให้การว่าที่ดินที่โจทก์กล่าวอ้างนั้นเป็นของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ในการพิจารณาว่าการออกหนังสือแสดงการทำประโยชน์และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของจำเลยที่ ๔ ถึงที่ ๗ ให้แก่จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ทับซ้อนที่ดินของโจทก์ทั้งสองหรือไม่ ต้องฟังข้อเท็จจริงให้เป็นที่ยุติก่อนว่าจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทเสียก่อน จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองนครราชสีมาพิจารณาแล้วเห็นว่า การออกหนังสือแสดงการทำประโยชน์ (น.ค. ๓) ในนิคมสร้างตนเองและการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. ๒๕๑๑ มาตรา ๘ บัญญัติให้เป็นอำนาจของอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ มีอำนาจอนุญาตให้สมาชิกนิคมเข้าทำประโยชน์ในที่ดินของนิคมสร้างตนเองตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๕๗ บัญญัติให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัด เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสาขา หรือเจ้าพนักงานที่ดินซึ่งอธิบดีกรมที่ดินมอบหมาย เป็นผู้มีอำนาจในการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ การออกหนังสือแสดงการทำประโยชน์ตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. ๒๕๑๑ และการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตามประมวลกฎหมายที่ดิน ย่อมเป็นอำนาจหน้าที่ของอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ และเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัด เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสาขา หรือเจ้าพนักงานที่ดินที่อธิบดีกรมที่ดินมอบหมายแล้วแต่กรณีซึ่งบุคคลดังกล่าวเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้เกิดจากการที่จำเลยที่ ๕ และเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๖ และที่ ๗ ได้ออกหนังสือแสดงการทำประโยชน์และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ให้แก่จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ โดยไม่ชอบทำให้โจทก์ทั้งสองเสียหาย จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
สำหรับประเด็นปัญหาว่าโจทก์ทั้งสองเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทหรือไม่นั้น เป็นประเด็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลจะต้องพิจารณาในเนื้อหาของคดี อันเป็นเพียงประเด็นปัญหาย่อยหนึ่งในหลายประเด็นปัญหาที่จะพิจารณาว่า การออกหนังสือแสดงการทำประโยชน์และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และแม้การพิจารณาว่าโจทก์ทั้งสองหรือจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทดังกล่าวหรือไม่จะต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือประมวลกฎหมายที่ดินก็ตาม แต่การพิจารณาในปัญหาดังกล่าวก็มิใช่เกณฑ์การพิจารณาว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลใด อีกทั้งไม่มีบทบัญญัติใดห้ามศาลปกครองมิให้นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้ หรือมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดกำหนดให้เป็นอำนาจเฉพาะศาลหนึ่งศาลใดเท่านั้นที่จะนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้ ศาลปกครองจึงนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้เช่นเดียวกัน นอกจากนั้น มาตรา ๗๑ (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้บัญญัติให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินมีผลผูกพันบุคคลภายนอก คู่กรณีที่เกี่ยวข้องอาจอ้างกับบุคคลภายนอกได้ เว้นแต่ บุคคลภายนอกจะมีสิทธิดีกว่า อันเป็นบทบัญญัติที่ยืนยันให้เห็นว่าศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินและนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาวินิจฉัยข้อพิพาทในคดีได้ อีกทั้งการพิจารณาว่าการออกหนังสือแสดงการทำประโยชน์และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ มิได้พิจารณาเฉพาะประเด็นว่า โจทก์ทั้งสองเป็นผู้มีสิทธิครองครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทหรือไม่แต่เพียงประการเดียว แต่ยังต้องพิจารณาในประเด็นว่าการออกหนังสือแสดงการทำประโยชน์และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ออกโดยถูกต้องตามขั้นตอนหรือวิธีการตามที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ ซึ่งประเด็นดังกล่าวก็อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองเช่นเดียวกัน
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คดีนี้โจทก์ทั้งสองเป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ และที่ ๘ ซึ่งเป็นเอกชนด้วยกัน จำเลยที่ ๔ และที่ ๖ ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ และจำเลยที่ ๕ และที่ ๗ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ อ้างว่าเป็นเจ้าของที่ดินและให้จำเลยที่ ๑ เช่าที่ดิน แต่จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ ร่วมกันนำเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๔ และที่ ๕ ไปรังวัดที่ดินและออกหนังสือแสดงการทำประโยชน์ (น.ค. ๓) เลขที่ ๔๓๓๖ และเลขที่ ๖๕๖๐ และนำ น.ค. ๓ ดังกล่าวไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) จำเลยที่ ๖ ได้ออก น.ส. ๓ ก. ให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ทับที่ดินโจทก์ทั้งสอง และนำที่ดินดังกล่าวไปให้บริษัทเขาใหญ่เนเชอรัลปาร์ค จำกัด เช่าสิทธิเหนือพื้นดินมีกำหนด ๓๐ ปี แต่บริษัทเขาใหญ่ฯ ถูกศาลสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลายและเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขายสิทธิการเช่าที่ดินรวมที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ ๘ ขอให้เพิกถอน น.ค. ๓ น.ส. ๓ ก. รวมทั้งสิทธิการเช่าเหนือพื้นดินของที่ดินพร้อมทั้งให้โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์และสิทธิการเช่าเหนือพื้นดินของที่ดินแปลงพิพาท ส่วนจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ ให้การว่า คำฟ้องโจทก์ขาดอายุความและฟ้องเคลือบคลุม จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เข้าครอบครองที่ดินโดยสงบ เปิดเผย และมีเจตนาเป็นเจ้าของ สมัครเข้าเป็นสมาชิกนิคมสร้างตนเองและทางราชการได้ออก น.ค. ๓ ให้แล้ว พร้อมทั้งนำพิสูจน์สิทธิการทำประโยชน์ในที่ดินเพื่อขอ น.ส. ๓ ก. จึงเป็นเจ้าของที่ดินโดยชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้องโจทก์ จำเลยที่ ๔ ถึงที่ ๗ ให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม และได้ปฏิบัติราชการตามระเบียบ ขั้นตอน และวิธีปฏิบัติตามกฎหมายโดยชอบ ทำการออก น.ค. ๓ ให้กับสมาชิกนิคมซึ่งได้รับการรับรองจึงเป็นการออก น.ส. ๓ ก. โดยชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง จำเลยที่ ๘ ให้การว่า ฟ้องโจทก์ทั้งสองขาดอายุความ จำเลยที่ ๘ ซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน จึงเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้คดีมีประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวข้องกับการที่หน่วยงานทางปกครองออกเอกสารสิทธิในที่ดินพิพาท แต่โจทก์ทั้งสองขอให้ศาลเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ออกเป็นชื่อบุคคลอื่น รวมทั้งขอให้ที่ดินทั้งสองแปลงและสิทธิการเช่าเหนือที่ดินทั้งสองแปลงกลับมาเป็นของโจทก์ทั้งสอง เมื่อพิจารณาความมุ่งหมายของโจทก์ที่ใช้สิทธิทางศาลที่ขอให้เพิกถอน น.ค. ๓ และน.ส. ๓ ก. รวมทั้งสิทธิการเช่าเหนือพื้นดินของที่ดิน พร้อมทั้งให้โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์และสิทธิการเช่าเหนือพื้นดินของที่ดินแปลงพิพาทก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินที่โจทก์กล่าวอ้างว่าตนมีสิทธิเป็นสำคัญ และในการออกเอกสารสิทธิในที่ดินของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ก็เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดเพื่อให้ผู้มีสิทธิในที่ดินที่แท้จริงได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย การที่จำเลยที่ ๔ ถึงที่ ๗ จะปฏิบัติตามคำขอของโจทก์ได้ก็จะต้องดำเนินการไปตามข้อเท็จจริงที่รับฟังได้เป็นยุติ ศาลจึงจำต้องพิจารณาให้ได้ความก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสองตามที่กล่าวอ้าง หรือจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ มีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่ากันแล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนายพวง สำพันธมิตร หรือสัมพันธมิตร ที่ ๑ กับพวกรวม ๒ คน โจทก์ นายบันลือศักดิ์ หรือทวน บุญเลี้ยง ที่ ๑ กับพวกรวม ๘ คน จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ดิเรก อิงคนินันท์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายดิเรก อิงคนินันท์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลเรือโท กฤษฎา เจริญพานิช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(กฤษฎา เจริญพานิช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ