คำวินิจฉัยที่ 53/2557

แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ

ย่อสั้น

คดีที่สมาคมกีฬายิงปืนแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ โจทก์ที่ ๑ อ้างว่าจำเลยทั้งสามกระทำละเมิดกรณีจำเลยที่ ๑ จัดการประชุมใหญ่วิสามัญเพื่อเลือกตั้งตนเองเป็นนายกสมาคมโจทก์ที่ ๑ และการดำเนินการของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ที่มีคำสั่งรับจดทะเบียนคำขอของจำเลยที่ ๑ พร้อมออกใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนที่มีชื่อสมาคมและเลขทะเบียนซ้ำซ้อนกับสมาคมโจทก์ที่ ๑ โดยละเลยไม่ตรวจสอบและไม่ดำเนินการตามที่กฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกำหนด อันเป็นการกระทำที่สืบเนื่องมาจากการประชุมดังกล่าว เป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เห็นว่า คดีนี้เป็นกรณีพิพาทเกี่ยวกับการประชุม รายงานการประชุม และมติที่ประชุมของสมาคมโจทก์ที่ ๑ ว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งเป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับการดำเนินการในการบริหารจัดการภายในสมาคมโจทก์ที่ ๑ แม้โจทก์ที่ ๑ จะมีฐานะเป็นสมาคมที่ได้รับอนุญาตจัดตั้งหรืออยู่ในความควบคุมของการกีฬาแห่งประเทศไทยตามพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๘ มีวัตถุประสงค์หลักเกี่ยวกับการกีฬาหรือส่งเสริมการกีฬาโดยตรง แต่การดำเนินการในการบริหารจัดการภายในสมาคมโจทก์ที่ ๑ อันเป็นข้อโต้แย้งในคดีก็ไม่มีลักษณะเป็นการใช้อำนาจทางปกครอง จึงเป็นคดีพิพาททางแพ่ง ประกอบกับข้อพิพาทระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ก็เป็นกรณีที่สืบเนื่องมาจากข้อพิพาททางแพ่งดังกล่าวและการดำเนินการรับจดทะเบียนและออกใบสำคัญตามฟ้องก็เป็นเพียงขั้นตอนตามกฎหมายในการรับรองสิทธิของนิติบุคคลในทางแพ่ง ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาททางแพ่ง ที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

ย่อยาว

(สำเนา)

คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๕๓/๒๕๕๗

วันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๗

เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑)

ศาลแพ่งกรุงเทพใต้
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง

การยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งกรุงเทพใต้โดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น

ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ สมาคมกีฬายิงปืนแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ที่ ๑ นางสาวจันทรัศม์ เธียรฐิติธัช ที่ ๒ โจทก์ ยื่นฟ้อง นายอธิปรัฐ กาญจนสุวรรณ ที่ ๑ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ที่ ๒ นายสุกิจ เจริญรัตนกุล ที่ ๓ จำเลย ต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๒๖๖/๒๕๕๕ ความว่า โจทก์ทั้งสองได้รับความเดือดร้อนเสียหายอันเนื่องมาจากการกระทำละเมิดของจำเลยทั้งสาม กรณีจำเลยที่ ๑ จัดให้มีการประชุมใหญ่วิสามัญของโจทก์ที่ ๑ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง แล้วจัดให้ที่ประชุมลงมติเลือกตั้งตนเองเป็นนายกสมาคม และจำเลยที่ ๑ ยังได้มีคำสั่งที่ ๓.๒/๒๕๕๔ แต่งตั้งคณะกรรมการบริหาร และจัดทำหรือปลอมเอกสารคำสั่งดังกล่าว ทั้งยังได้นำเสนอรายงานการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เพื่อขอความเห็นชอบหรือรับรองรายงานการประชุมต่อการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) แต่ไม่ได้รับความเห็นชอบ แล้วจำเลยที่ ๑ ยังนำรายงานการประชุมและมติที่ประชุมดังกล่าว พร้อมข้อบังคับที่จัดทำหรือแก้ไขเพิ่มเติมขึ้นเองยื่นต่อนายทะเบียนสมาคมกรุงเทพมหานคร จำเลยที่ ๒ และอธิบดีกรมการปกครอง ปฏิบัติหน้าที่นายทะเบียนสมาคมจำเลยที่ ๓ เพื่อขอจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับของโจทก์ที่ ๑ หลังจากนั้นได้นำรายงานการประชุม มติที่ประชุม และคำสั่งที่ ๓.๒/๒๕๕๔ ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ยื่นต่อจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เพื่อจดทะเบียนแต่งตั้งกรรมการขึ้นใหม่ทั้งชุดหรือเปลี่ยนแปลงกรรมการของโจทก์ที่ ๑ ซึ่งต่อมาจำเลยที่ ๒ โดยจำเลยที่ ๓ ได้รับจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับของโจทก์ที่ ๑ และรับจดทะเบียนแต่งตั้งกรรมการของสมาคมขึ้นใหม่ทั้งชุดหรือเปลี่ยนแปลงกรรมการของโจทก์ที่ ๑ ตามคำขอของจำเลยที่ ๑ พร้อมออกใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนที่มีชื่อสมาคมและเลขทะเบียนซ้ำซ้อนกับสมาคมโจทก์ที่ ๑ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง ไม่ตรวจสอบและพิจารณาคุณสมบัติ สิทธิหรืออำนาจของจำเลยที่ ๑ และจงใจไม่ตรวจสอบข้อบังคับของโจทก์ที่ ๑ ในเรื่องที่จำเลยที่ ๑ นำมายื่นขอจดทะเบียน ทั้งยังไม่ตรวจสอบว่าการจัดประชุมและรายงานการประชุมฉบับที่นำมาประกอบการยื่นคำขอจดทะเบียนได้รับการรับรองโดย กกท. หรือไม่ ตลอดจนละเลยไม่เรียกหนังสือรับรองหรือหนังสืออนุญาตให้จดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับของโจทก์ที่ ๑ และหนังสือรับรองหรือหนังสืออนุญาตให้จดทะเบียนแต่งตั้งกรรมการของสมาคมขึ้นใหม่ทั้งชุดหรือเปลี่ยนแปลงกรรมการของโจทก์ที่ ๑ ซึ่งออกโดย กกท. จากจำเลยที่ ๑ โจทก์ที่ ๑ ยื่นหนังสือคัดค้านการพิจารณารับจดทะเบียนต่อจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ แล้ว แต่จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่พิจารณาและยังไม่ปฏิบัติตามข้อซักซ้อมเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติในการจดทะเบียนที่กำหนดขึ้น อันเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้โจทก์ที่ ๑ ไม่สามารถฝากถอนเงินจากบัญชีเงินฝากทุกประเภทเพื่อนำมาใช้จ่ายสำหรับบริหารจัดการกิจการของสมาคม ไม่สามารถขอรับเงินอุดหนุนจาก กกท. เสียสิทธิหรือถูกจำหน่ายสิทธิในการดำเนินคดีแก่บุคคลภายนอกหรือจำเลยที่ ๑ และโจทก์ที่ ๒ พนักงานลูกจ้างหรือสมาชิกถูกเลิกจ้างหรือสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่หรือปลดจากตำแหน่ง โจทก์ทั้งสองถูกฟ้องร้องคดีแพ่งและคดีอาญา โจทก์ที่ ๑ ต้องสูญเสียรายได้จากการบริหารจัดการทรัพย์สิน ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสอง ให้จำเลยที่ ๑ หยุดใช้มติที่ประชุมใหญ่วิสามัญ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ และใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนสมาคมที่จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ออกซ้ำซ้อนกับชื่อและเลขทะเบียนสมาคมโจทก์ที่ ๑ กับให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ แก้ไขใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนเกี่ยวกับสมาคมที่ออกให้แก่จำเลยที่ ๑ ไม่ให้ซ้ำซ้อนกับชื่อและเลขทะเบียนสมาคมโจทก์ที่ ๑
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า การประชุมใหญ่วิสามัญ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔ เป็นการประชุมโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ ๑ เป็นผู้มีอำนาจในการยื่นคำขอจดทะเบียนต่อนายทะเบียนสมาคม เนื่องจากได้รับมอบอำนาจจากที่ประชุมในการประชุมใหญ่วิสามัญ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ ดังกล่าวและยังได้รับมอบอำนาจจากรักษาการคณะกรรมการสมาคมด้วย ส่วนการดำเนินการอื่นๆ ของจำเลยที่ ๑ ที่โจทก์ทั้งสองกล่าวอ้างตามฟ้องก็ได้กระทำไปโดยมีอำนาจและชอบด้วยกฎหมาย การรับจดทะเบียนและออกใบสำคัญการจดทะเบียนให้แก่จำเลยที่ ๑ จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว โจทก์ที่ ๑ ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ให้การว่า ไม่ได้กระทำละเมิดและได้ปฏิบัติหน้าที่โดยถูกต้องและชอบด้วยกฎหมาย ข้อบังคับ และระเบียบที่เกี่ยวข้องแล้ว การที่จำเลยที่ ๑ ยื่นคำขอจดทะเบียนโดยใช้มติที่ประชุมใหญ่วิสามัญ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๔ และมาตรา ๘๕ เมื่อมติที่ประชุมดังกล่าวยังไม่ถูกเพิกถอนจากศาลตามบทบัญญัติมาตรา ๑๐๐ จึงถือว่ามติดังกล่าวยังสมบูรณ์อยู่ จำเลยที่ ๒ โดยจำเลยที่ ๓ ได้รอคำสั่งของศาลแพ่งในคดีที่โจทก์ที่ ๒ ยื่นคำร้องเป็นคดีหมายเลขดำที่ ๓๑๒๒/๒๕๕๔ ขอให้เพิกถอนมติที่ประชุมใหญ่วิสามัญครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ศาลแพ่งมีคำสั่งยกคำร้อง คดีถึงที่สุดแล้ว (คดีหมายเลขแดงที่ ๔๑๗๕/๒๕๕๔) แล้วจึงรับจดทะเบียนตามคำขอดังกล่าว ผลของคำสั่งศาลแพ่งดังกล่าวจำเลยที่ ๑ จึงยังคงดำรงตำแหน่งนายกสมาคมกีฬายิงปืนแห่งประเทศไทยโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งสอดคล้องกับคำสั่งของศาลปกครองในคดีที่จำเลยที่ ๑ ยื่นฟ้องการกีฬาแห่งประเทศไทย และจำเลยที่ ๒ ในคดีนี้ ต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๔๗๔/๒๕๕๔ หมายเลขแดงที่ ๑๕๓๖/๒๕๕๔ และเมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๕ โจทก์ที่ ๑ กับพวกรวม ๒ คน ยื่นฟ้องจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ในคดีนี้ต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๑๑/๒๕๕๕ ขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ ๓ ที่อนุญาตให้รับจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับของสมาคมและอนุญาตให้รับจดทะเบียนการแต่งตั้งกรรมการของสมาคมขึ้นใหม่ทั้งชุดตามใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน และให้ระงับการใช้และเวนคืนใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนดังกล่าว คดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลปกครองกลาง ความเสียหายที่โจทก์ทั้งสองกล่าวอ้างไม่ได้เกิดจากจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ฟ้องโจทก์ทั้งสองเคลือบคลุม โจทก์ที่ ๑ ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้โจทก์ทั้งสองกล่าวอ้างว่าคำสั่งของจำเลยที่ ๒ โดยจำเลยที่ ๓ เป็นการกระทำละเมิด จึงเป็นการฟ้องเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลแพ่งกรุงเทพใต้พิจารณาแล้วเห็นว่า ประเด็นหลักในคดีนี้จะต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า การกระทำของจำเลยที่ ๑ ที่จัดให้มีการประชุมใหญ่วิสามัญครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔ โดยที่ประชุมลงมติเลือกจำเลยที่ ๑ เป็นนายกสมาคมโจทก์ที่ ๑ และจำเลยที่ ๑ ดำเนินการต่างๆ ต่อมาโดยอาศัยมติที่ประชุมดังกล่าวเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสองหรือไม่ อย่างไร อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ส่วนประเด็นที่ว่าจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง ดำเนินการรับจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับ รับจดทะเบียนแต่งตั้งกรรมการ พร้อมทั้งออกใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนให้แก่จำเลยที่ ๑ ถูกต้องชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสองหรือไม่นั้น ถือว่าเป็นประเด็นรอง แม้คำสั่งของจำเลยที่ ๒ โดยจำเลยที่ ๓ จะเป็นคำสั่งทางปกครองตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๕ และเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากคำสั่งทางปกครอง หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง แต่คดีนี้โจทก์ทั้งสองมีคำขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าเสียหายจากการกระทำละเมิดแก่โจทก์ทั้งสอง และความปรากฏว่าจำเลยที่ ๒ โดยจำเลยที่ ๓ ดำเนินการจดทะเบียนเกี่ยวกับสมาคมโจทก์ที่ ๑ ตามคำขอของจำเลยที่ ๑ เมื่อคดีนี้ต้องพิจารณาให้ได้ความจากประเด็นหลักเสียก่อน โดยที่ประเด็นหลักอยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม ประเด็นรองจึงควรอยู่ในอำนาจของศาลเดียวกัน เพื่อให้คำพิพากษาเป็นไปในแนวทางเดียวกัน คดีระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า กรณีตามคำฟ้องและคำขอของโจทก์ทั้งสองเป็นการกล่าวฟ้องว่าจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ รับจดทะเบียนการแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับสมาคมและการแต่งตั้งกรรมการของสมาคมขึ้นใหม่ทั้งชุด พร้อมทั้งออกใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนทั้งสองรายการตามคำขอให้แก่จำเลยที่ ๑ ซึ่งถือเป็นคำสั่งทางปกครอง โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นกรณีที่โจทก์ทั้งสองมุ่งประสงค์ให้ศาลตรวจสอบและวินิจฉัยการกระทำของหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นสำคัญ อันเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยมีประเด็นหลักแห่งคดีที่ศาลต้องพิจารณาว่า การที่จำเลยที่ ๒ โดยจำเลยที่ ๓ รับจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับ รับจดทะเบียนแต่งตั้งกรรมการบริหารขึ้นใหม่ทั้งชุด พร้อมทั้งออกใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนทั้งสองรายการให้แก่จำเลยที่ ๒ ทำให้โจทก์เสียหาย เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ ส่วนการพิจารณาว่าการกระทำของจำเลยที่ ๑ ที่จัดให้มีการประชุมใหญ่วิสามัญ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔ โดยที่ประชุมลงมติเลือกจำเลยที่ ๑ เป็นนายกสมาคมโจทก์ที่ ๑ และจำเลยที่ ๑ ได้นำรายงานการประชุมและมติที่ประชุมดังกล่าวไปยื่นขอจดทะเบียนและให้จำเลยที่ ๓ ออกใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนเพื่อนำไปดำเนินกิจการในนามสมาคมเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น แม้การจัดตั้งสมาคมได้ดำเนินการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ก็ตาม แต่การจัดตั้งสมาคมมีวัตถุประสงค์หลักเกี่ยวกับการกีฬาหรือส่งเสริมการกีฬาโดยตรงที่จะต้องได้รับอนุญาตในการดำเนินกิจการต่างๆ จากการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ตามพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๘ และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง จึงเป็นหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจาก กกท. ให้ใช้อำนาจทางปกครองหรือดำเนินกิจการทางปกครองในด้านกีฬาตามชนิดกีฬาที่ได้รับอนุญาต ดังนั้น การดำเนินกิจการของสมาคมกีฬาที่ได้รับอนุญาตจาก กกท. จึงมีความแตกต่างจากการดำเนินกิจการของสมาคมทั่วไป เมื่อการดำเนินการของจำเลยที่ ๑ ตามฟ้องเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินกิจการของโจทก์ที่ ๑ อันเป็นการใช้อำนาจปกครองหรือดำเนินกิจการทางปกครอง และการตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำของจำเลยที่ ๑ ศาลจำต้องวินิจฉัยว่าการประชุมดังกล่าว กกท. ได้ให้ความเห็นชอบและรับรองรายงานการประชุมฉบับดังกล่าว ตามที่ข้อบังคับการกีฬาแห่งประเทศไทย ฉบับที่ ๖ ว่าด้วยการควบคุมสมาคมซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักเกี่ยวกับการกีฬาหรือการส่งเสริมกีฬาโดยตรง ลงวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๓๐ ประกอบข้อซักซ้อมระหว่าง กกท. กับจำเลยที่ ๒ เกี่ยวกับวิธีปฏิบัติในการจดทะเบียนสมาคมกีฬาหรือไม่ และชอบด้วยกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจดทะเบียนสมาคมซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักเกี่ยวกับการกีฬาหรือการส่งเสริมกีฬาโดยตรงหรือไม่ อันเป็นประเด็นที่เกี่ยวกับการใช้อำนาจทางปกครองหรือการดำเนินกิจการทางปกครองเช่นกัน เมื่อประเด็นพิพาทเกี่ยวกับการกระทำของจำเลยที่ ๑ ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา ๒๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ประเด็นพิพาทดังกล่าวจึงอยู่ในอำนาจของศาลปกครองเช่นกัน คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากคำสั่งทางปกครอง อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง อกจากนี้ข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์ทั้งสองได้นำมูลคดีเรื่องเดียวกันนี้ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสามต่อศาลปกครองกลางตามคดีหมายเลขดำที่ ๑๑๑/๒๕๕๕ ขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ ๓ ในคดีนี้ที่อนุญาตให้รับจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติม ข้อบังคับของสมาคมและอนุญาตให้รับจดทะเบียนการแต่งตั้งกรรมการของสมาคมขึ้นใหม่ทั้งชุดตามใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน และให้ระงับการใช้และเวนคืนใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนดังกล่าว ซึ่งศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับตามคำสั่งของจำเลยที่ ๓ ไว้เป็นการชั่วคราวแล้ว เมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ เมื่อคดีนี้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ โต้แย้งเขตอำนาจศาลว่าคดีนี้ทั้งคดีอยู่ในอำนาจของศาลปกครอง คดีนี้จึงควรอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลเดียวกัน เพื่อให้คำพิพากษาเป็นไปในแนวทางเดียวกัน คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง

คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องคดีนี้สรุปได้ว่า โจทก์ที่ ๑ เป็นนิติบุคคลประเภทสมาคมอ้างว่าจำเลยทั้งสามกระทำละเมิดกรณีจำเลยที่ ๑ จัดให้มีการประชุมใหญ่วิสามัญของโจทก์ที่ ๑ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง แล้วจัดให้ที่ประชุมลงมติเลือกตั้งตนเองเป็นนายกสมาคม และมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารชุดใหม่และจัดทำหรือปลอมคำสั่งดังกล่าว ทั้งยังได้นำเสนอรายงานการประชุมและมติที่ประชุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายพร้อมข้อบังคับที่จัดทำหรือแก้ไขเพิ่มเติมขึ้นเองยื่นต่อนายทะเบียนสมาคมกรุงเทพมหานคร จำเลยที่ ๒ และอธิบดีกรมการปกครอง ปฏิบัติหน้าที่นายทะเบียนสมาคม จำเลยที่ ๓ เพื่อขอจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับของโจทก์ที่ ๑ และขอจดทะเบียนแต่งตั้งกรรมการขึ้นใหม่ทั้งชุดหรือเปลี่ยนแปลงกรรมการของโจทก์ที่ ๑ ซึ่งจำเลยที่ ๒ โดยจำเลยที่ ๓ ได้มีคำสั่งรับจดทะเบียนคำขอของจำเลยที่ ๑ พร้อมออกใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนที่มีชื่อสมาคมและเลขทะเบียนซ้ำซ้อนกับสมาคมโจทก์ที่ ๑ โดยละเลยไม่ตรวจสอบและไม่ดำเนินการตามที่กฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกำหนด อันเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสอง ให้จำเลยที่ ๑ หยุดใช้มติที่ประชุมใหญ่วิสามัญ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ และใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนสมาคมที่จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ออกซ้ำซ้อนกับชื่อและเลขทะเบียนสมาคมโจทก์ที่ ๑ กับให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ แก้ไขใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนเกี่ยวกับสมาคมที่ออกให้แก่จำเลยที่ ๑ ไม่ให้ซ้ำซ้อนกับชื่อและเลขทะเบียนสมาคมโจทก์ที่ ๑ เห็นว่า แม้โจทก์ทั้งสองยื่นฟ้องจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ กรณีมีคำสั่งรับจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับของโจทก์ที่ ๑ และรับจดทะเบียนกรรมการขึ้นใหม่ทั้งชุดหรือเปลี่ยนแปลงกรรมการของโจทก์ที่ ๑ ตามคำขอของจำเลยที่ ๑ พร้อมออกใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนที่มีชื่อสมาคมและเลขทะเบียนซ้ำซ้อนกับสมาคมโจทก์ที่ ๑ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีเกิดจากการที่โจทก์ทั้งสองกล่าวอ้างว่าการจัดการประชุมใหญ่วิสามัญโดยจำเลยที่ ๑ เพื่อเลือกตั้งนายกสมาคมโจทก์ที่ ๑ และการดำเนินการของจำเลยทั้งสามที่สืบเนื่องมาจากการประชุมดังกล่าวเป็นไปไม่ชอบด้วยกฎหมาย ประเด็นข้อพิพาทในคดีจึงเป็นกรณีพิพาทเกี่ยวกับการประชุม รายงานการประชุม และมติที่ประชุมของสมาคมดังกล่าวว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ อันเป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับการดำเนินการในการบริหารจัดการภายในสมาคมโจทก์ที่ ๑ ซึ่งเป็นนิติบุคคลในทางแพ่ง แม้โจทก์ที่ ๑ จะมีฐานะเป็นสมาคมที่ได้รับอนุญาตจัดตั้งหรืออยู่ในความควบคุมของการกีฬาแห่งประเทศไทยตามพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๘ มีวัตถุประสงค์หลักเกี่ยวกับการกีฬาหรือส่งเสริมการกีฬาโดยตรง แต่การดำเนินการในการบริหารจัดการภายในสมาคมโจทก์ที่ ๑ อันเป็นข้อโต้แย้งในคดีก็ไม่มีลักษณะเป็นการใช้อำนาจทางปกครอง จึงเป็นคดีพิพาททางแพ่ง ประกอบกับข้อพิพาทระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ก็เป็นกรณีที่สืบเนื่องมาจากข้อพิพาททางแพ่งดังกล่าวและการดำเนินการรับจดทะเบียนและออกใบสำคัญตามฟ้องก็เป็นเพียงขั้นตอนตามกฎหมายในการรับรองสิทธิของนิติบุคคลในทางแพ่ง ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาททางแพ่ง ที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง สมาคมกีฬายิงปืนแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ที่ ๑ นางสาวจันทรัศม์ เธียรฐิติธัช ที่ ๒ โจทก์ นายอธิปรัฐ กาญจนสุวรรณ ที่ ๑ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ที่ ๒ นายสุกิจ เจริญรัตนกุล ที่ ๓ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

(ลงชื่อ) ดิเรก อิงคนินันท์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายดิเรก อิงคนินันท์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม

(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง

(ลงชื่อ) พลเรือโท กฤษฎา เจริญพานิช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(กฤษฎา เจริญพานิช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร

(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ

Share