แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ
ย่อสั้น
ไม่มีย่อสั้น
ย่อยาว
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๕/๒๕๕๔
วันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๕๔
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลจังหวัดเชียงราย
ระหว่าง
ศาลปกครองเชียงใหม่
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดเชียงรายส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๒ วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีที่มีการนำคดีซึ่งมีข้อเท็จจริงเรื่องเดียวกันฟ้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจแตกต่างกันตั้งแต่สองศาลขึ้นไป และคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๕๐ นายเทอดศักดิ์ อดุลวัฒนธรรม โจทก์ ยื่นฟ้องกระทรวงมหาดไทย ที่ ๑ กรมที่ดิน ที่ ๒ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเชียงราย ที่ ๓ นายอำเภอเมืองเชียงราย ที่ ๔ นายบุญส่ง อุโมงค์ ในฐานะผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ ๓ ตำบลสันทราย ที่ ๕ จำเลย ต่อศาลจังหวัดเชียงราย เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๗๕/๒๕๕๐ ความว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดิน จำนวน ๓ แปลง เนื้อที่ประมาณ ๔๐ ไร่ ซึ่งโจทก์ใช้ประกอบกิจการพาณิชย์และบริการชื่อโรงแรมบ้านสวนริเวอร์วิวรีสอร์ท ตั้งอยู่หมู่ที่ ๓ ตำบลสันทราย อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย มาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๓๓ โดยซื้อที่ดินจากบุคคลที่เข้าทำประโยชน์ครอบครองติดต่อกันมาไม่ขาดสายซึ่งทางราชการได้ออกบ้านเลขที่พัก อาศัยเกินกว่าสิบปีและไม่เคยสำรวจและขึ้นทะเบียนเป็นที่สาธารณะ โจทก์ได้ทำรั้วคอนกรีตและรั้วลวดหนามรอบที่ดินของโจทก์ไว้อย่างมั่นคง เมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๕๔๖ ถึงเดือนสิงหาคม ๒๕๔๗ จำเลยทั้งห้าร่วมกันมีคำขอ ออกคำสั่ง ประกาศ และทำการรังวัดเพื่อออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) บ้านโป่งสลี หมู่ที่ ๓ ตำบลสันทราย อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย โดยจำเลยที่ ๕ ได้กระทำการอันเป็นการเลือกปฏิบัติโดยมีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์เสนอโครงการอันเป็นเท็จต่อจำเลยที่ ๔ ว่า ชาวบ้านที่อยู่อาศัยในบริเวณดังกล่าวมีมติให้กันที่ดินบางส่วนของโจทก์เป็นที่สาธารณะของหมู่บ้านเพื่อประโยชน์ประชาชนได้ใช้สอยร่วมกัน และแจ้งให้จำเลยที่ ๔ ดำเนินการเสนอจำเลยที่ ๒ ผ่านจำเลยที่ ๓ ขอออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) ซึ่งในการดำเนินการดังกล่าวได้มีการนำชี้และรังวัดทับที่ดินของโจทก์บางส่วน โดยไม่มีการสอบสวนโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินหรือเจ้าของที่ดินข้างเคียง ทั้งที่ที่ดินบริเวณที่ทำการรังวัดเป็นที่ดินที่ชาวบ้านครอบครองทำประโยชน์มาหลายชั่วอายุคน ไม่ใช่ที่สาธารณะ และเมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖ กรมชลประทานยังยอมรับสิทธิของโจทก์ ขอความยินยอมโจทก์ในการก่อสร้างคันดินป้องกันน้ำท่วมโดยใช้ตลิ่งที่ดินของโจทก์วางหินเป็นคันกันน้ำท่วมพื้นที่ตำบลสันทราย ต่อมาจำเลยที่ ๓ ได้มีประกาศสำนักงานที่ดินจังหวัดเชียงราย เรื่อง ออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง และแจ้งประกาศดังกล่าวให้โจทก์ทราบ โจทก์ยื่นคัดค้านการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) เฉพาะส่วนที่รุกล้ำที่ดินของโจทก์แล้ว การที่จำเลยทั้งห้าร่วมกันกระทำการโดยประมาทเลินเล่อ ไม่ว่าจะเป็นคำขอ คำสั่ง การนำชี้และรังวัดที่ดิน รวมทั้งประกาศว่าที่ดินบางส่วนของโจทก์เป็นที่สาธารณะหมู่บ้าน เป็นการโต้แย้งสิทธิและรบกวนการครอบครองที่ดินของโจทก์ เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นการจงใจของจำเลยที่ ๕ ในการเลือกปฏิบัติ ขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันหรือแทนกันยกเลิกแผนที่พิพาท ประกาศ คำสั่ง และการกระทำต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์ และแก้ไขให้โจทก์กลับสู่สถานะเดิมก่อนที่มีการนำชี้และรังวัดที่ดินของโจทก์ อนึ่ง โจทก์เคยยื่นฟ้องจำเลยที่ ๕ กรณียุยงส่งเสริมให้ชาวบ้านบุกรุกที่ดินที่โจทก์ครอบครองทำประโยชน์ เป็นคดีแพ่งต่อศาลจังหวัดเชียงราย ศาลจังหวัดเชียงรายได้มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ มส. ๕๐๖/๒๕๔๘ พิพากษาให้จำเลยที่ ๕ ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยทั้งห้าให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์มิใช่เจ้าของที่ดินพิพาท เพราะที่ดินพิพาทเป็นทางสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน การที่ทางราชการได้ออกทะเบียนบ้านให้มิใช่การให้กรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ได้ดำเนินการตามขั้นตอนในการขอออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) ตามระเบียบและกฎหมายแล้ว และจำเลยทั้งห้ามิได้ร่วมกันกระทำการโดยประมาทเลินเล่อ มิได้เลือกปฏิบัติหรือกระทำการเป็นการเฉพาะรายตามที่โจทก์กล่าวอ้าง และจำเลยที่ ๕ ปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว การที่ศาลจังหวัดเชียงรายมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยที่ ๕ ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ มิได้หมายความว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์หรือมีสิทธิครอบครองที่จะใช้อ้างกับรัฐได้ ทั้งการที่กรมชลประทานให้โจทก์ทำหนังสือยินยอมก็มิได้หมายความว่าเป็นการให้สิทธิครอบครองในที่ดินแก่โจทก์ตามกฎหมาย คดีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
จำเลยทั้งห้ายื่นคำร้องโต้แย้งอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลและคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำร้องโต้แย้งอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง และภายหลังจำเลยทั้งห้ายื่นคำร้องโต้แย้งอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลว่า คดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาศาลปกครองแล้ว โจทก์ในคดีนี้ได้ยื่นฟ้องจำเลยทั้งห้าต่อศาลปกครองเชียงใหม่ด้วย (คดีหมายเลขดำที่ ๒๕๗/๒๕๕๐) แต่ศาลปกครองเชียงใหม่มีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณา เนื่องจากเห็นว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม (คดีหมายเลขแดงที่ ๒๑๔/๒๕๕๐) โจทก์อุทธรณ์ ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งที่ ๒๐๐/๒๕๕๑ ให้ศาลปกครองเชียงใหม่รับฟ้องเฉพาะประเด็นที่ผู้ฟ้องคดี (โจทก์ในคดีนี้) มีคำขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีรื้อถอนเสาคอนกรีตออกจากที่ดินของผู้ฟ้องคดี ซึ่งจำเลยทั้งห้าเห็นว่าประเด็นตามคำฟ้องของโจทก์ในคดีนี้และในคดีปกครองดังกล่าวเป็นเรื่องเดียวกัน คดีนี้จึงเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
อนึ่ง สำหรับคดีที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งห้าในคดีนี้ต่อศาลปกครองเชียงใหม่ (คดีหมายเลขดำที่ ๒๕๗/๒๕๕๐ หมายเลขแดงที่ ๒๑๔/๒๕๕๐) ขอให้บังคับผู้ถูกฟ้องคดีทั้งห้าส่งคืนการครอบครองที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดีและรื้อถอนเสาคอนกรีตออกจากที่ดินของผู้ฟ้องคดี ศาลปกครองเชียงใหม่มีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณา โดยเห็นว่าผู้ฟ้องคดีมิใช่ผู้เดือดร้อนเสียหายหรืออาจจะเดือดร้อนเสียหาย ทั้งเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์ ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งให้รับฟ้องเฉพาะประเด็นที่ผู้ฟ้องคดีขอให้บังคับผู้ถูกฟ้องคดีรื้อถอนเสาคอนกรีตออกจากที่ดินของผู้ฟ้องคดีไว้พิจารณา เนื่องจากการที่ผู้ใหญ่บ้านฯ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๕ นำเสาคอนกรีตบางส่วนมาปักไว้ในที่ดินของผู้ฟ้องคดี โดยมิได้มีประเด็นโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในการครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าว อาจเป็นกรณีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐ อันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่ทำให้ผู้ฟ้องคดีเสียหายได้ และเป็นการขอให้ศาลปกครองมีคำบังคับตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติเดียวกันจึงเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดเชียงรายทำความเห็นเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ลงวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๕๒ ว่า โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งห้าเพื่อให้เพิกถอนแผนที่พิพาทที่จำเลยที่ ๕ นำชี้โดยไม่สุจริตและเป็นโมฆะ เพราะที่ดินไม่เป็นที่ดินที่จะออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง ให้จำเลยทั้งห้าดำเนินการแก้ไขให้โจทก์กลับสู่สถานะเดิม ซึ่งการจะวินิจฉัยตามประเด็นที่โจทก์ฟ้องจะต้องได้ความว่าที่ดินที่จำเลยทั้งห้านำเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดเป็นที่ดินของโจทก์หรือของรัฐ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินซึ่งจะต้องวินิจฉัยโดยศาลยุติธรรม ที่ศาลปกครองสูงสุดให้ศาลปกครองเชียงใหม่รับพิจารณาเฉพาะรั้วแนวเขตที่ดินเท่านั้น จึงไม่เป็นการวินิจฉัยคดีให้ครอบคลุมทั้งหมด เพราะประเด็นหลักแห่งคดีเป็นการวินิจฉัยว่าที่ดินเป็นของบุคคลใดเป็นสำคัญ แม้โจทก์แถลงยืนยันว่าโจทก์ฟ้องเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบ ไม่ได้ฟ้องเรียกกรรมสิทธิ์ในที่ดิน แต่เมื่อศาลปกครองสูงสุดได้วินิจฉัยประเด็นแห่งคดีดังกล่าวมาแล้ว จึงเห็นว่าคดีนี้สมควรให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณา
ศาลจังหวัดเชียงรายโดยสำนักงานศาลยุติธรรมจึงส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๒ วรรคหนึ่ง
ต่อมาคณะกรรมการฯ มีคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล (คำสั่ง) ที่ ๑๗/๒๕๕๒ ให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความ เนื่องจากการเสนอเรื่องของศาลจังหวัดเชียงรายไม่เป็นไปตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๒ วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) โดยให้เหตุผลว่า ก่อนเสนอเรื่องให้คณะกรรมการฯ พิจารณา ศาลจังหวัดเชียงรายจะต้องรอการพิจารณาไว้ชั่วคราว แล้วจัดทำความเห็นส่งไปให้ศาลปกครองซึ่งเป็นศาลที่จำเลยทั้งห้าร้องว่า คดีอยู่ในเขตอำนาจจัดทำความเห็นโดยเร็ว ถ้าศาลจังหวัดเชียงรายและศาลปกครอง มีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาล ศาลจังหวัดเชียงรายจึงจะส่งเรื่องให้คณะกรรมการเพื่อพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดได้ ข้อเท็จจริงคดีนี้ศาลจังหวัดเชียงรายไม่ได้ส่งความเห็นไปให้ศาลปกครองซึ่งเป็นศาลที่จำเลยทั้งห้าร้องว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจจัดทำความเห็น การส่งเรื่องให้คณะกรรมการของศาลจังหวัดเชียงรายจึงไม่เป็นไปตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลจังหวัดเชียงรายจึงส่งความเห็นไปให้ศาลปกครองซึ่งเป็นศาลที่จำเลยทั้งห้าร้องว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจจัดทำความเห็น ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๒ วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓)
ศาลปกครองเชียงใหม่ทำความเห็นเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ลงวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ ว่า การออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงเป็นการรับรองเขตที่ดินของรัฐ ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของอธิบดีกรมที่ดินที่อยู่ในบังคับบัญชาของกระทรวงมหาดไทย จำเลยที่ ๑ โดยอธิบดีกรมที่ดินต้องดำเนินการตามมาตรา ๘ ตรี แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ประกอบกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒๖ (พ.ศ. ๒๕๑๖)ฯ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๕ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ระเบียบกรมที่ดินว่าด้วยการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง พ.ศ. ๒๕๑๗ ประกอบระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการมอบอำนาจให้สภาตำบลหรือองค์การบริหารส่วนตำบล ช่วยเหลือในการดำเนินการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง พ.ศ. ๒๕๔๓ อันเป็นการใช้อำนาจทางปกครองที่มีผลกระทบต่อสิทธิหน้าที่ของบุคคล การดำเนินการต่างๆ ก่อนออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงจึงเป็นการใช้อำนาจปกครองเพื่อให้มีการออกคำสั่งทางปกครองต่อไป กรณีตามคำฟ้องสืบเนื่องมาจากโจทก์อ้างว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในการพิจารณาออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง ทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเดือดร้อนเสียหาย จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว และกรณีไม่เข้าข้อยกเว้นที่ไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน สำหรับประเด็นปัญหาที่ต้องพิจารณาว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทหรือเป็นที่สาธารณประโยชน์ของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันนั้น เป็นเพียงปัญหาข้อเท็จจริงที่ใช้ประกอบในการพิจารณาว่า การออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงของจำเลยทั้งห้าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ แม้การพิจารณาในเรื่องสิทธิในทรัพย์สินจะต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือประมวลกฎหมายที่ดินก็ตาม แต่การนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดี ก็ไม่ใช่เกณฑ์การพิจารณาลักษณะคดีว่าอยู่ในอำนาจของศาลใด อีกทั้งไม่มีบทบัญญัติในกฎหมายใดห้ามศาลปกครองมิให้นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้หรือมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดกำหนดให้เป็นอำนาจพิจารณาของศาลหนึ่งศาลใดที่จะนำบทบัญญัติในกฎหมายดังกล่าวมาวินิจฉัยข้อพิพาทแห่งคดีไว้โดยเฉพาะ ศาลปกครองจึงนำบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และประมวลกฎหมายที่ดินมาวินิจฉัยข้อพิพาทแห่งคดีได้ นอกจากนั้น มาตรา ๗๑ (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ บัญญัติให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินมีผลผูกพันบุคคลภายนอก คู่กรณีที่เกี่ยวข้องอาจอ้างกับบุคคลภายนอกได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกจะมีสิทธิดีกว่า อันเป็นบทบัญญัติที่ยืนยันให้เห็นว่าศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินและนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาวินิจฉัยข้อพิพาทในคดีได้ ประกอบกับจำเลยทั้งห้าเป็นหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐมิได้อยู่ในฐานะเจ้าของหรือผู้มีสิทธิในที่ดินพิพาท ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับความมีอยู่หรือสถานะของที่สาธารณประโยชน์สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ซึ่งมิใช่เรื่องพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินแต่อย่างใด ส่วนกรณีที่ศาลปกครองเชียงใหม่มีคำสั่งไม่รับฟ้องตามคำขอที่ให้เพิกถอนบัญชีรายชื่อที่ดินที่สาธารณประโยชน์และยกเลิกรูปแผนที่พิพาทในการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง และศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนตามคำสั่งศาลปกครองชั้นต้นนั้น เนื่องจากขณะโจทก์ฟ้องคดียังไม่มีการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงที่จะถือว่าเป็นคำสั่งทางปกครองที่มีผลกระทบต่อสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ โจทก์จึงยังไม่ใช่ผู้เดือดร้อนเสียหายหรืออาจจะเดือดร้อนเสียหายที่มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครอง อีกทั้งศาลปกครองสูงสุดก็มิได้วินิจฉัยคำฟ้องตามคำขอดังกล่าวว่าไม่อยู่ในเขตอำนาจศาลปกครอง และในส่วนที่มีคำสั่งให้ศาลปกครองเชียงใหม่รับพิจารณาเฉพาะประเด็นเจ้าหน้าที่ของรัฐนำเสาคอนกรีตมาปักไว้ในที่ดินของผู้ฟ้องคดีเพื่อไม่ให้ผู้ฟ้องคดีเข้าใช้ประโยชน์ในที่ดิน เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งเป็นคนละประเด็นกับคดีนี้
ต่อมา ศาลจังหวัดเชียงรายทำความเห็นเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ลงวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๓ ในทำนองเดียวกับความเห็นเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ลงวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๕๒ และส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยทั้งห้าซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามคำฟ้องโจทก์อ้างว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดิน จำนวน ๓ แปลง เนื้อที่ประมาณ ๔๐ ไร่ ตั้งอยู่หมู่ที่ ๓ ตำบลสันทราย อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย ได้รับความเสียหายกรณีจำเลยทั้งห้าร่วมกันกระทำการโดยประมาทเลินเล่อ โดยการยื่นคำขอ ออกคำสั่ง นำชี้และรังวัดที่ดินเพื่อออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) บ้านโป่งสลี หมู่ที่ ๓ ตำบลสันทราย อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย ทับที่ดินบางส่วนของโจทก์ รวมทั้งประกาศว่าที่ดินบางส่วนของโจทก์ดังกล่าวเป็นที่สาธารณะหมู่บ้าน อันเป็นการโต้แย้งสิทธิและรบกวนการครอบครองที่ดินของโจทก์ เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นการจงใจของจำเลยที่ ๕ ในการเลือกปฏิบัติ ขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันหรือแทนกันยกเลิกแผนที่พิพาท ประกาศ คำสั่ง และการกระทำต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์ และแก้ไขให้โจทก์กลับสู่สถานะเดิมก่อนที่มีการนำชี้และรังวัดที่ดินของโจทก์ ส่วนจำเลยทั้งห้าให้การว่า โจทก์มิใช่เจ้าของที่ดินพิพาท เพราะที่ดินพิพาทเป็นทางสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ได้ดำเนินการตามขั้นตอนในการขอออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) ตามระเบียบและกฎหมายแล้ว และจำเลยทั้งห้ามิได้ร่วมกันกระทำการโดยประมาทเลินเล่อ มิได้เลือกปฏิบัติหรือกระทำการเป็นการเฉพาะรายตามที่โจทก์กล่าวอ้าง และจำเลยที่ ๕ ปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ดังนั้น การที่ศาลจะพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีนี้ได้นั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง นายเทอดศักดิ์ อดุลวัฒนธรรม โจทก์ กระทรวงมหาดไทย ที่ ๑ กรมที่ดิน ที่ ๒ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเชียงราย ที่ ๓ นายอำเภอเมืองเชียงราย ที่ ๔ นายบุญส่ง อุโมงค์ ในฐานะผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ ๓ ตำบลสันทราย ที่ ๕ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ศิลปชัย สรภักดี (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศิลปชัย สรภักดี) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ