คำวินิจฉัยที่ 48/2555

แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ

ย่อสั้น

ไม่มีย่อสั้น

ย่อยาว

(สำเนา)

คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๔๘/๒๕๕๕

วันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๕๕

เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน

ศาลจังหวัดกระบี่
ระหว่าง
ศาลปกครองนครศรีธรรมราช

การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดกระบี่โดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น

ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๓ นายทำนุก โดยประกอบ โจทก์ ยื่นฟ้อง เทศบาลตำบลเหนือคลอง ที่ ๑ นายอาทร เชื้ออริยะ ที่ ๒ นายวีรวุฒิ ปฏิมินทร์ ที่ ๓ นายประภาส ช่วยแท่นที่ ๔ จำเลย ต่อศาลจังหวัดกระบี่ เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๒๖๔/๒๕๕๓ ความว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๔๕๖๙ เนื้อที่ ๑ ไร่ ๑ งาน ๒๘ ตารางวา และโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๔๙๓๓ เนื้อที่ ๒ งาน ๕๑ ตารางวา ที่ดินทั้งสองแปลงตั้งอยู่ที่ตำบลเหนือคลองอำเภอเหนือคลอง จังหวัดกระบี่ เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๔๗ โจทก์อุทิศที่ดินให้แก่จำเลยที่ ๑ ทำเป็นทางสาธารณประโยชน์ เนื้อที่ประมาณ ๓๙๒ ตารางเมตร และต่อมาเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม๒๕๕๐ โจทก์ได้จดทะเบียนแบ่งหักที่ดินเป็นทางหลวงเทศบาล เนื้อที่ ๑ งาน ๙ ตารางวา จากนั้นจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ได้ดำเนินการก่อสร้างถนนลูกรังและเมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๒ ได้ว่าจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัด วริษฐา เทพประทานก่อสร้าง ให้ทำการก่อสร้างถนนลาดยาง โดยมีจำเลยที่ ๓ และที่ ๔ เป็นผู้ควบคุมงานก่อสร้าง ซึ่งการก่อสร้างถนนดังกล่าวรุกล้ำเข้าไปในที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ ๔๕๖๙ ของโจทก์เป็นรูปสามเหลี่ยม โดยส่วนที่ลาดยางรุกล้ำเข้าไปมีขนาดกว้าง ๑.๘๐ เมตร และส่วนของไหล่ทางขอบถนนขนาดกว้าง ๒.๔๐ เมตร ยาว ๔๘ เมตร รวมเนื้อที่ ๒๕ ตารางวา และรุกล้ำเข้าไปในที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๔๙๓๓ ของโจทก์ เป็นรูปสามเหลี่ยม โดยส่วนที่ลาดยางรุกล้ำเข้าไปมีขนาดกว้าง ๘๐ เซนติเมตร และส่วนของไหล่ทางขอบถนนขนาดกว้าง ๒.๓๐ เมตร ยาว ๓๙.๑๖ เมตร รวมเนื้อที่ ๑๕.๑๕ ตารางวา ซึ่งจำเลยทั้งสี่ทราบแนวเขตที่ดินในส่วนที่โจทก์อุทิศให้เป็นที่หลวงเทศบาลแล้ว กลับจงใจและมีเจตนาทุจริตก่อสร้างถนนลาดยางรุกล้ำที่ดินที่โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ทั้งแปลง อันเป็นการรบกวนการครอบครองที่ดินของโจทก์โดยปกติสุข ไม่สามารถใช้สอยประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวได้ ทำให้โจทก์ได้รับความเดือดร้อนและเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่หยุดกระทำการดังกล่าวและให้รื้อถอนถนนส่วนที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ ๔๕๖๙ และ ๑๔๙๓๓ ของโจทก์ด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลยทั้งสี่ หากไม่สามารถดำเนินการดังกล่าวได้ ให้โจทก์ทำการรื้อถอน โดยให้จำเลยทั้งสี่ออกค่าใช้จ่าย และให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การสรุปได้ว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง คดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง จำเลยทั้งสองไม่ได้ทำละเมิดต่อโจทก์ เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม๒๕๔๗ โจทก์ทำหนังสืออุทิศที่ดินบางส่วนของโฉนดที่ดินเลขที่ ๔๕๖๙ ความกว้าง ๘ เมตร ยาวตลอดแนวที่ดินให้แก่จำเลยที่ ๑ ใช้เป็นทางหลวงเทศบาลที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน ต่อมาโจทก์บอกให้ที่ดินเพิ่มเติมจากเดิม จาก ๘ เมตร เป็น ๑๐ เมตร ยาวตลอดแนวที่ดิน หลังจากนั้นจำเลยที่ ๑ ดำเนินการบุกเบิกถนนในที่ดินโจทก์อุทิศให้เป็นถนนลูกรังและปรับปรุงถนนดังกล่าวหลายครั้ง โจทก์มิเคยโต้แย้งว่าทำถนนรุกล้ำที่ดินโจทก์ ต่อมาเมื่อ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๔๘ จำเลยที่ ๑โดยจำเลยที่ ๒ ว่าจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัด วริษฐา เทพประทานก่อสร้าง ดำเนินการก่อสร้างถนนพิพาทด้วยการปูลาดแอสฟัสต์ติกคอนกรีตถนนลูกรังเดิม ซึ่งโจทก์ก็มิได้โต้แย้งแต่ประการใด ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐ โจทก์ได้แบ่งแยกโฉนดที่ดินเลขที่ ๔๕๖๙ ออกเป็นสองแปลงสองโฉนด ซึ่งโจทก์มิเคยโต้แย้งคัดค้านว่า จำเลยที่ ๑ ทำถนนบุกรุกเข้าไปในที่ดินโจทก์นอกเหนือไปจากที่โจทก์ได้แสดงเจตนายกให้จำเลยที่ ๑ โจทก์จึงไม่ได้รับความเสียหาย โจทก์ใช้สิทธิในการฟ้องคดีโดยไม่สุจริต ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า มีหน้าที่ควบคุมงานให้เป็นตามแบบแปลนและให้ได้มาตรฐานถูกต้องตามที่จำเลยที่ ๑ กำหนดไว้ จึงไม่มีส่วนในการกระทำผิดตามฟ้องโจทก์ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง คดีอยู่ในอำนาจของศาลปกครอง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๔ ให้การว่า ไม่ได้เป็นผู้ควบคุมการก่อสร้างถนนลาดยางตามฟ้องของโจทก์ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ใช้สิทธิในการฟ้องคดีโดยไม่สุจริต โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง คดีอยู่ในอำนาจของศาลปกครอง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยทั้งสี่ยื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ส่วนจำเลยที่ ๒ถึงที่ ๔ เป็นเจ้าพนักงานที่ปฏิบัติราชการตามอำนาจหน้าที่ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลปกครอง ขอให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความศาลจังหวัดกระบี่พิจารณาแล้วเห็นว่า แม้เหตุแห่งการฟ้องคดีสืบเนื่องจากการที่จำเลยทั้งสี่ร่วมกันจัดทำบริการสาธารณะ ทำการก่อสร้างถนนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์นอกเหนือจากส่วนที่อุทิศให้เป็นทางหลวงเทศบาล อันเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด แต่การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้จำเลยทั้งสี่หยุดกระทำการดังกล่าวและให้ร่วมกันรื้อถอนถนนส่วนที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ ๔๕๖๙ และโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๔๙๓๓ รวมทั้งคำขออื่นๆของโจทก์ได้หรือไม่นั้น ศาลจำต้องพิจารณาในปัญหาว่าที่ดินพิพาทส่วนที่รุกล้ำเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามที่โจทก์หรือจำเลยทั้งสี่กล่าวอ้างเป็นสำคัญ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินระหว่างคู่กรณี อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองนครศรีธรรมราชพิจารณาแล้วเห็นว่า มาตรา ๒๑๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ บัญญัติให้ศาลยุติธรรมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีทั้งปวงเว้นแต่คดีที่รัฐธรรมนูญนี้หรือกฎหมายบัญญัติให้ศาลอื่น ในขณะที่มาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่งของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทระหว่างหน่วยงานราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือองค์กรตามรัฐธรรมนูญหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชน หรือระหว่างหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือองค์กรตามรัฐธรรมนูญหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วยกันอันเนื่องมาจากการใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมาย หรือเนื่องมาจากการดำเนินกิจการทางปกครองของหน่วยงานราชการ หน่วยงานรัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือองค์กรตามรัฐธรรมนูญหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ รวมทั้งมีอำนาจพิจารณาพิพากษาเรื่องที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอำนาจศาลปกครอง ประกอบมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายหรือคำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร ดังนั้นเกณฑ์การพิจารณาในเรื่องเขตอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลปกครองและศาลยุติธรรม จึงต้องพิจารณาเขตอำนาจของศาลปกครองเป็นสำคัญ หากคดีพิพาทใดอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้ว ศาลยุติธรรมย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนั้น ตามนัยบทบัญญัติและพระราชบัญญัติดังกล่าว เมื่อเหตุแห่งการฟ้องคดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ได้อุทิศที่ดินให้จำเลยที่ ๑ ทำเป็นทางสาธารณประโยชน์ โดยจดทะเบียนแบ่งหักเป็นที่หลวงเทศบาล เนื้อที่ ๑ งาน ๙ ตารางวาต่อมาจากจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ได้ก่อสร้างถนนลาดยางแอสฟัสต์ติกคอนกรีตเป็นทางขนาดความกว้าง ๕ เมตร ยาว ๑๙๒ เมตร ขนาดกว้าง ๖ เมตร ยาว ๑๘๕ เมตร และขนาดกว้าง๘ เมตร ยาว ๗๓ เมตร ซึ่งการก่อสร้างถนนดังกล่าวโจทก์อ้างว่าจำเลยทั้งสี่ก่อสร้างถนนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๔๕๖๙ โดยส่วนที่ลาดยางรุกล้ำขนาด ๑.๘๐ เมตร และส่วนของไหล่ทางขนาดกว้าง ๒.๔๐ ยาว ๔๘ เมตร รวมเนื้อที่ ๒๕ ตารางวา และรุกล้ำเข้าไปในโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๔๙๓๓ โดยส่วนที่ลาดยางรุกล้ำกว้าง ๐.๘๐ เมตร และส่วนของไหล่ทางขนาดกว้าง๒.๓๐ เมตร ยาว ๓๙.๑๖ เมตร รวมเนื้อที่ ๑๕.๑๕ ตารางวา นอกเหนือจากที่ดินส่วนที่โจทก์อุทิศให้ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ไม่สามารถใช้ประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวได้ จึงฟ้องคดีต่อศาลขอให้ศาลบังคับให้จำเลยทั้งสี่หยุดกระทำการดังกล่าว และร่วมกันรื้อถอนถนนส่วนที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลยทั้งสี่เอง หากจำเลยทั้งสี่ไม่ปฎิบัติตามขอให้โจทก์จัดหาบุคคลภายนอกเข้าทำการรื้อถอนแทนจำเลยทั้งสี่ โดยให้จำเลยทั้งสี่ออกค่าใช้จ่าย และให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะปฏิบัติตามคำพิพากษา กรณีตามฟ้องจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง(๓)แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ และศาลปกครองมีอำนาจกำหนดคำบังคับให้จำเลยทั้งสี่งดเว้นการกระทำหรือสั่งให้ชดใช้เงินตามคำฟ้องของโจทก์ได้ ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
อย่างไรก็ดี หากข้อพิพาทในคดีนี้มีประเด็นที่จะต้องพิจารณาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินก็ตาม แต่ประเด็นปัญหาดังกล่าวเป็นเพียงประเด็นปัญหาข้อเท็จจริงในคดีที่ใช้ประกอบการพิจารณาข้อหาการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย และแม้การพิจารณาในเรื่องสิทธิในทรัพย์สินจะต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งเป็นกฎหมายทั่วไปก็ตาม แต่การนำบทกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีก็มิใช่เกณฑ์การพิจารณาลักษณะคดีว่าอยู่ในอำนาจของศาลใด อีกทั้งไม่มีบทบัญญัติใดห้ามศาลปกครองมิให้นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้ หรือมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดกำหนดให้เป็นอำนาจของศาลหนึ่งศาลใดที่จะนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายเหล่านั้นมาวินิจฉัยข้อพิพาทของคดีไว้โดยเฉพาะ ดังนั้นศาลปกครองจึงสามารถนำบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และประมวลกฎหมายที่ดินมาใช้ในการวินิจฉัยข้อพิพาทในคดีนี้ได้ นอกจากนี้ มาตรา ๗๑ (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้บัญญัติให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินมีผลผูกพันบุคคลภายนอก คู่กรณีที่เกี่ยวข้องอาจอ้างกับบุคคลภายนอกได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกจะมีสิทธิดีกว่า ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวมีเจตนารมณ์ที่จะคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินของบุคคลหรือนิติบุคคล หรือหน่วยงานของรัฐ ตามมาตรา ๔๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช ๒๕๕๐ อันเป็นบทบัญญัติที่ยืนยันให้เห็นว่าศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิของทรัพย์สิน และนำบทบัญญัติของกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาวินิจฉัยข้อพิพาทระหว่างบุคคลหรือนิติบุคคลกับหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐได้โดยตรง ดังนั้นเมื่อคดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้วศาลยุติธรรมจึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ ตามนัยมาตรา ๒๑๘ และมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช ๒๕๕๐ ประกอบมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจรณาพิพากษาของศาลปกครอง

คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โฉนดที่ดินเลขที่ ๔๕๖๙ และ ๑๔๙๓๓ ได้อุทิศที่ดินให้แก่จำเลยที่ ๑ ทำเป็นทางสาธารณประโยชน์ และจดทะเบียนแบ่งหักเป็นทางหลวงเทศบาล เนื้อที่ ๑ งาน ๙ ตารางวาจากนั้นจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ดำเนินการก่อสร้างถนนลูกรังและว่าจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัด วริษฐา เทพประทานก่อสร้าง ให้ทำการก่อสร้างถนนลาดยาง โดยมีจำเลยที่ ๓และที่ ๔ เป็นผู้ควบคุมงานก่อสร้าง ซึ่งการก่อสร้างถนนดังกล่าวรุกล้ำเข้าไปในที่ดินทั้งสองแปลง รวมเนื้อที่๑๕.๑๕ ตารางวาซึ่งจำเลยทั้งสี่ทราบแนวเขตที่ดินในส่วนที่โจทก์อุทิศให้เป็นทางหลวงเทศบาลแล้วกลับจงใจและมีเจตนาทุจริตก่อสร้างถนนลาดยางรุกล้ำที่ดินที่โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ อันเป็นการรบกวนการครอบครองที่ดินของโจทก์โดยปกติสุข ไม่สามารถใช้สอยประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวได้ทำให้โจทก์ได้รับความเดือดร้อนและเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่หยุดกระทำการดังกล่าวและให้รื้อถอนถนนส่วนที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินทั้งสองแปลงของโจทก์ด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลยทั้งสี่ หากไม่สามารถดำเนินการดังกล่าวได้ ให้โจทก์ทำการรื้อถอนแทน โดยให้จำเลยทั้งสี่ออกค่าใช้จ่ายและให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย ส่วนจำเลยทั้งสี่ให้การโดยสรุปว่า โจทก์ทำหนังสืออุทิศที่ดินบางส่วนของโฉนดที่ดินที่พิพาทดังกล่าวให้จำเลยที่ ๑ ใช้เป็นทางหลวงเทศบาลที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน ต่อมาโจทก์ยกที่ดินให้เพิ่มเติม การที่จำเลยทั้งสี่ก่อสร้างถนนที่พิพาทโดยที่โจทก์มิได้โต้แย้งคัดค้านกรณีนี้จึงถือได้ว่าจำเลยทั้งสี่ไม่ได้ทำละเมิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้นั้น ศาลจำต้องพิจารณา ให้ได้ความเสียก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นที่ดินที่โจทก์ยกให้เป็นทางสาธารณประโยชน์เป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นได้ต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนายทำนุก โดยประกอบ โจทก์ เทศบาลตำบลเหนือคลอง ที่ ๑ นายอาทร เชื้ออริยะ ที่ ๒ นายวีรวุฒิ ปฏิมินทร์ ที่ ๓ นายประภาส ช่วยแท่น ที่ ๔ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม

(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง

(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร

(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ

Share