แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ
ย่อสั้น
ไม่มีย่อสั้น
ย่อยาว
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๔๘/๒๕๕๔
วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๔
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลแรงงานกลาง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแรงงานกลางโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ นางพรรณี ปริวัตรนานนท์ ที่ ๑ กับพวกรวม ๙๒๐ คน โจทก์ ยื่นฟ้องสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา จำเลย ต่อศาลแรงงานกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๑๙๐, ๑๕๙๙ – ๑๘๑๔, ๒๐๒๗ – ๒๔๘๑, ๒๘๒๘ – ๒๘๕๘, ๔๐๓๒ – ๔๑๔๓, ๔๒๑๔ – ๔๒๓๒, ๔๓๙๖ – ๔๓๙๙, ๔๔๙๐ – ๔๕๗๑/๒๕๕๒ ความว่า โจทก์ทั้งเก้าร้อยยี่สิบเป็นลูกจ้างของจำเลย จำเลยเป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖ ซึ่งเดิมองค์การจัดหาผลประโยชน์ของจำเลยคือองค์การค้าของคุรุสภา ซึ่งไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคลและเดิมเป็นองค์การจัดหาผลประโยชน์ของคุรุสภาตามพระราชบัญญัติครู พ.ศ. ๒๔๘๘ ต่อมาเมื่อมีการตราพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖ จึงมีการโอนบรรดากิจการ เงิน ทรัพย์สิน หนี้ สิทธิต่าง ๆ ขององค์การค้าของคุรุสภาไปเป็นของจำเลย ต่อมาคณะรัฐมนตรีมีมติให้ปรับอัตราค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจ จำนวน ๓ ครั้ง ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๗ ให้ปรับในอัตราค่าจ้างร้อยละสามเท่ากันทุกอัตรา และให้ได้รับค่าจ้างสูงกว่าอัตราที่เพิ่มร้อยละสามตามอัตราจ้างใหม่อีก ๒ ขั้น ให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๔๗ เป็นต้นไป ครั้งที่สองเมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๔๙ ให้ปรับในอัตราค่าจ้างร้อยละห้าของอัตราค่าจ้างที่ได้รับ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๘ เป็นต้นไป และครั้งที่สามเมื่อวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๐ ให้ปรับในอัตราค่าจ้างร้อยละสี่ของอัตราค่าจ้างที่ได้รับ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๐ เป็นต้นไป จำเลยจึงต้องปรับเงินเดือนขึ้นให้แก่โจทก์ทั้งเก้าร้อยยี่สิบจำนวน ๓ ครั้ง แต่จำเลยกลับไม่ดำเนินการปรับเงินเดือนขึ้นให้แก่โจทก์บางราย และปรับเงินเดือนขึ้นให้แก่โจทก์บางรายเพียงครึ่งขั้น ทำให้โจทก์บางรายไม่ได้รับการปรับขึ้นเงินเดือน และในบางรายได้รับการขึ้นเงินเดือนไม่ครบถ้วน อันเป็นการไม่ปฏิบัติตามสภาพการจ้างฉบับลงวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๒๕ ข้อ ๑๗ เรื่องการพิจารณาความดีความชอบประจำปี ซึ่งจำเลยได้ปฏิบัติมาตลอด ขอให้บังคับจำเลยปรับขึ้นเงินเดือนให้แก่โจทก์ทั้งเก้าร้อยยี่สิบตามมติคณะรัฐมนตรีและให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับจากวันเกิดสิทธิเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จสิ้น
จำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลในกำกับดูแลของกระทรวงศึกษาธิการ จึงเป็นหน่วยงานของรัฐและเป็นส่วนราชการตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๒๒ และเป็นหน่วยงานทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ บันทึกข้อตกลงฉบับลงวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๒๕ ข้อ ๑๗ ที่โจทก์ทั้งเก้าร้อยยี่สิบฟ้องขอให้จำเลยปฏิบัติตามถือไม่ได้ว่าเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง เนื่องจากมีข้อความไม่ครบถ้วนตามมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ และเป็นการบันทึกระหว่างสหภาพแรงงานองค์การค้าของคุรุสภากับองค์การคุรุสภาซึ่งเป็นการทำบันทึกข้อตกลงก่อนที่พระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖ มีผลใช้บังคับให้มีการจัดตั้งหน่วยงานองค์การค้าของจำเลยขึ้น การปรับเปลี่ยนสภาพการจ้างที่ออกคำสั่งให้เปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างเป็นการใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖ มาตรา ๖๓ (๕) และมาตรา ๙๐ และระเบียบคุรุสภาว่าด้วยการบริหารองค์การค้าของคุรุสภา ข้อ ๘ จึงเป็นเรื่องที่หน่วยงานของรัฐทำสัญญากับลูกจ้างของรัฐ สัญญาจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลย จึงเป็นสัญญาที่คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง และมีลักษณะเป็นสัญญาที่ให้บริการสาธารณะในด้านการศึกษา ส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการศึกษา สื่อการเรียนการสอนด้านการศึกษา และเรื่องอื่นที่เกี่ยวกับการจัดการศึกษาแก่สถานศึกษาทั้งองค์กรของรัฐหรือภาคเอกชนและบุคคลทั่วไป จึงถือว่าองค์การค้าของจำเลยดำเนินกิจการที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับภารกิจในการจัดจ้างบริการสาธารณะด้านการจัดการศึกษาของจำเลย จึงเป็นสัญญาทางปกครอง เมื่อมีข้อพิพาทระหว่างคู่สัญญาจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
นอกจากนี้ จำเลยให้การว่า จำเลยได้ออกข้อบังคับคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา ว่าด้วยการบริหารสำนักงาน พ.ศ. ๒๕๔๗ และข้อบังคับคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา ว่าด้วยการบริหารสำนักงาน พ.ศ. ๒๕๕๑ และข้อบังคับคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา ว่าด้วยการบริหารงานองค์การค้าของสำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๙ และฉบับที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๕๐ ได้แบ่งแยกพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยออกเป็น ๒ ประเภท โดยข้อบังคับคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา ว่าด้วยการบริหารสำนักงาน พ.ศ. ๒๕๕๑ กำหนดให้ พนักงานเจ้าหน้าที่หมายความว่าพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้รับเงินเดือนหรือค่าจ้างจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา แต่ไม่รวมถึงพนักงานเจ้าหน้าที่ขององค์การค้าของจำเลย จึงเกิดข้อโต้แย้งหรือพิพาทระหว่างลูกจ้างขององค์การของจำเลยกับจำเลยในประเด็นที่ว่า ข้อบังคับฯ ดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งประเด็นดังกล่าวศาลปกครองกลางได้รับคำฟ้องไว้พิจารณาแล้ว เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๙๖๖/๒๕๕๐ และถ้าศาลปกครองกลางฟังว่า ข้อบังคับฯ ดังกล่าวขัดต่อกฎหมายย่อมส่งผลต่อการใช้ดุลพินิจของจำเลยในคดีนี้โดยตรง ประเด็นทั้งสองนี้มีความเกี่ยวพันกันโดยตรง จึงเห็นได้ว่าข้อบังคับฯ ดังกล่าวออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๖๓ (๖) แห่งพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖ ที่กำหนดให้ คณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษามีอำนาจและหน้าที่ออกข้อบังคับและหลักเกณฑ์ในการดำเนินกิจการตามอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา และมาตรา ๘๓ วรรคท้าย กำหนดว่า ให้มีการปรับปรุงการบริหารจัดการองค์การค้าของคุรุสภาให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงและมีประสิทธิภาพสามารถแข่งขันอย่างเสรีได้ แสดงให้เห็นว่าลูกจ้างของจำเลยทั้งสองหน่วยงานหาได้อยู่ภายใต้ข้อบังคับเดียวกันไม่ การที่จำเลยไม่ปรับเงินเดือนค่าจ้างให้โจทก์ทั้งหมดตามคำฟ้องโดยมีเหตุผลมาจากการมีผลประกอบการที่ขาดทุน แต่จำเลยได้ปรับเงินเดือนค่าจ้างให้แก่พนักงานของจำเลยอื่นที่ไม่ใช่พนักงานลูกจ้างขององค์การค้าของจำเลย เห็นได้ชัดว่ามีกรณีข้อพิพาทโต้แย้งขึ้นเกี่ยวกับการที่จำเลยซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองกระทำการโดยไม่มีอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมายหรือมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมหรือเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ ซึ่งถือว่าเป็นกรณีพิพาทเรื่องเดียวกันกับเรื่องที่ศาลปกครองได้รับพิจารณาไว้แล้ว ดังนั้น คดีนี้จึงเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑)ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้ตามพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖ จะปรากฏว่าจำเลยเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการและส่วนหนึ่งของรายได้ที่จำเลยได้รับมาจากเงินอุดหนุนจากงบประมาณแผ่นดิน แต่มูลเหตุแห่งการพิพาทคดีนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสิทธิประโยชน์อันเกี่ยวกับการทำงานตามสัญญาจ้างแรงงานที่โจทก์ในฐานะลูกจ้างเรียกร้องให้จำเลยปฏิบัติในฐานะที่เป็นนายจ้าง จึงมีลักษณะเป็นการจ้างแรงงานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และเป็นการเรียกร้องให้จำเลยจัดสภาพการจ้างให้สอดคล้องกับมติของคณะรัฐมนตรี จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานหรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง และเป็นคดีเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) และ (๒) คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยมีฐานะเป็นนิติบุคคลในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการ รายได้ที่ได้รับส่วนหนึ่งเป็นเงินอุดหนุนจากงบประมาณแผ่นดิน จึงเป็นหน่วยงานอื่นของรัฐ และเป็นหน่วยงานทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการดำเนินงานของคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งมีหน้าที่ดำเนินงานด้านสวัสดิการ สวัสดิภาพ สิทธิประโยชน์เกื้อกูลอื่น และความมั่นคงของผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ตามพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖ อันถือเป็นหน้าที่เกี่ยวกับการบริการสาธารณะในด้านการศึกษา ส่วนโจทก์ทั้งเก้าร้อยยี่สิบเป็นลูกจ้างของจำเลย มีหน้าที่ปฏิบัติงานตามภารกิจของจำเลยในด้านการจัดหาผลประโยชน์ จึงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ สัญญาจ้างระหว่างโจทก์ทั้งเก้าร้อยยี่สิบกับจำเลย เป็นสัญญาที่มีคู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองและมีลักษณะเป็นสัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะจึงเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ไม่ใช่สัญญาจ้างแรงงานทั่วไป หากมีคดีและข้อพิพาทโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับการจ้างงานถือเป็นคดีพิพาทตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ซึ่งอยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง แต่จากข้อเท็จจริงในคดีนี้โจทก์ทั้งเก้าร้อยยี่สิบคนฟ้องว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ปรับอัตราค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างของรัฐรวม ๓ ครั้ง ในอัตราร้อยละสาม ร้อยละห้าและร้อยละสี่ตามลำดับเพื่อความเป็นธรรม เนื่องจากได้มีการปรับอัตราเงินเดือนให้แก่ข้าราชการไปแล้ว แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตาม โดยไม่ปรับค่าจ้างให้แก่โจทก์บางราย และปรับค่าจ้างให้แก่โจทก์บางรายเพียงครึ่งขั้น ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยปรับค่าจ้างให้แก่โจทก์ทั้งเก้าร้อยยี่สิบคนตามมติคณะรัฐมนตรีเต็มจำนวนพร้อมดอกเบี้ยซึ่งคณะรัฐมนตรีมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในการบริหารราชการแผ่นดิน และการกำหนดนโยบายให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐในสังกัดและในกำกับถือปฏิบัติ จำเลยเป็นหน่วยงานของรัฐในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการ จึงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี การที่โจทก์ทั้งเก้าร้อยยี่สิบคนฟ้องว่า จำเลยไม่ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีจึงเป็นการฟ้องว่าหน่วยงานทางปกครองละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ ส่วนที่ฟ้องเรียกดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันเกิดสิทธิตามมติคณะรัฐมนตรีเป็นการฟ้องว่าหน่วยงานทางปกครองกระทำละเมิด จึงเป็นคดีพิพาทตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๒) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ไม่ใช่คดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานหรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง และไม่เป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ตามมาตรา ๘ (๑) และ (๒) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือ
ศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ทั้งเก้าร้อยยี่สิบฟ้องว่า จำเลยไม่ดำเนินการปรับเงินเดือนขึ้นให้แก่โจทก์บางราย และในบางรายได้รับการขึ้นเงินเดือนไม่ครบถ้วนตามมติคณะรัฐมนตรีที่ให้ปรับอัตราค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจ จำนวน ๓ ครั้ง อันเป็นการไม่ปฏิบัติตามสภาพการจ้างฉบับลงวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๒๕ ข้อ ๑๗ เรื่องการพิจารณาความดีความชอบประจำปี ซึ่งจะต้องพิจารณาโดยถือหลักเกณฑ์การพิจารณาตามมติคณะรัฐมนตรีที่กำหนดไว้ในขณะนั้นๆ ขอให้บังคับจำเลยปรับขึ้นเงินเดือนให้แก่โจทก์ทั้งเก้าร้อยยี่สิบตามมติคณะรัฐมนตรีพร้อมดอกเบี้ย ส่วนจำเลยให้การทำนองว่า โจทก์ทั้งเก้าร้อยยี่สิบไม่ใช่พนักงานลูกจ้างประเภทที่จะได้รับการปรับค่าจ้าง ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเกี่ยวกับสัญญาจ้างระหว่างโจทก์ทั้งเก้าร้อยยี่สิบกับจำเลย ซึ่งจำต้องพิจารณาว่าสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาทางปกครองหรือไม่ เห็นว่า แต่เดิมโจทก์ทั้งเก้าร้อยยี่สิบทำสัญญาเป็นลูกจ้างขององค์การค้าของคุรุสภา ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการหาประโยชน์ให้แก่คุรุสภาและอำนวยความสะดวกให้แก่การศึกษา โดยผลิต จำหน่ายและพัฒนาหนังสือ สื่อการเรียนการสอน รับจ้างพิมพ์งานทั่วไปและข้อสอบ โดยไม่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลหรือหน่วยงานใด และสามารถบริหารกิจการจนมีกำไร ต่อมาองค์การค้าของคุรุสภานายจ้างของโจทก์ทั้งเก้าร้อยยี่สิบได้โอนไปอยู่ในสังกัดของจำเลยตามพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖ แต่ก็ยังคงมีวัตถุประสงค์และภารกิจเช่นเดิม ดังนั้น จะเห็นได้ว่า การดำเนินกิจการขององค์การค้าของคุรุสภาดำเนินกิจการเช่นเดียวกันกับเอกชนที่ผลิต จำหน่าย และพัฒนาหนังสือ สื่อการเรียนการสอน ซึ่งเป็นการประกอบกิจการเชิงพาณิชยกรรมจนมีกำไร สามารถนำไปจัดสรรให้กับองค์การคุรุสภาได้ นอกจากนี้องค์การค้าของคุรุสภาก็มีการจัดตั้งสหภาพแรงงานและเคยมีการยื่นข้อเรียกร้องต่อกันจนมีการทำบันทึกข้อตกลงกัน และเมื่อพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖ มิได้บัญญัติยกเว้นการนำพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๕๑ พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ พระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ และพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ มาบังคับใช้กับกิจการของจำเลย ทั้งบทบัญญัติตามกฎหมายดังกล่าวก็มิได้บัญญัติยกเว้นมิให้นำมาใช้บังคับกับหน่วยงานอื่นใดของรัฐที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะในลักษณะของจำเลยด้วยแล้ว จำเลยจึงอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายดังกล่าว รวมทั้งโจทก์ทั้งเก้าร้อยยี่สิบด้วย ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์ทั้งเก้าร้อยยี่สิบและจำเลยจึงมีลักษณะเป็นนายจ้างลูกจ้างตามสัญญาจ้างแรงงาน ซึ่งเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานหรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง และเป็นคดีเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) และ (๒) คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนางพรรณี ปริวัตรนานนท์ ที่ ๑ กับพวกรวม ๙๒๐ คน โจทก์ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา จำเลยอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ศิลปชัย สรภักดี (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศิลปชัย สรภักดี) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ