คำวินิจฉัยที่ 45/2558

แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ

ย่อสั้น

คดีที่ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องกรมทางหลวงชนบท ผู้ถูกฟ้องคดี อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนดได้รับความเดือดร้อนเสียหายกรณีผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างและขยายถนนรุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดี ทั้งยังไม่ดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนด ไม่ติดประกาศงานก่อสร้างเกี่ยวกับรายละเอียดให้ประชาชนและเจ้าของที่ดินบริเวณใกล้เคียงทราบ เมื่อผู้ฟ้องคดีขอดูหลักฐานการถือสิทธิในที่ดินพิพาท ผู้ถูกฟ้องคดีก็ไม่สามารถนำหลักฐานการถือสิทธิตามกฎหมายใดๆ มาแสดงได้ อีกทั้งผู้ถูกฟ้องคดีได้มีหนังสือแจ้งให้ผู้ฟ้องคดีปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยทางหลวงเพื่อบังคับให้ผู้ฟ้องคดีรื้อถอนรั้ว ทั้งที่บริเวณที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินของผู้ฟ้องคดี ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าเสียหายจากการรุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดี ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นทางสาธารณประโยชน์ที่เจ้าของที่ดินเดิมได้อุทิศที่ดินให้เป็นที่สาธารณะโดยปริยาย จึงไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้ฟ้องคดี เห็นว่า เมื่อพิจารณาความมุ่งหมายในการฟ้องคดีนี้ก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่าตนมีสิทธิเป็นสำคัญ การที่ผู้ถูกฟ้องคดีจะปฏิบัติตามคำขอของผู้ฟ้องคดีได้ก็จะต้องดำเนินการไปตามข้อเท็จจริงที่รับฟังได้เป็นยุติ ศาลจึงจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นที่สาธารณประโยชน์แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

ย่อยาว

(สำเนา)

คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๔๕/๒๕๕๘

วันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๘

เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน

ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลจังหวัดสระบุรี

การยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าทีระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น

ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๗ นางเมตตา สังข์สุวรรณ์ ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้อง กรมทางหลวงชนบท ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๓๕๘/๒๕๕๗ ความว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๗๒๐๒ เลขที่ดิน ๓๓๕ ตำบลหนองยาว อำเภอเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี โดยซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวมาจากผู้มีชื่อ ต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีโดยสำนักงานทางหลวงชนบท จังหวัดสระบุรี ได้ทำการก่อสร้างและขยายถนนรุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดี โดยในขณะก่อสร้าง บิดาของผู้ฟ้องคดีได้คัดค้านแสดงความเป็นเจ้าของที่หน้างานก่อสร้าง แต่ผู้ถูกฟ้องคดีไม่หยุดดำเนินการ จนกระทั่งก่อสร้างแล้วเสร็จ บิดาของผู้ฟ้องคดีจึงได้ทำหลักเขตเพื่อแสดงกรรมสิทธิ์และดำเนินการร้องเรียนต่อไป
นอกจากนี้ ผู้ถูกฟ้องคดีไม่ได้มีการติดประกาศงานก่อสร้างเพื่อแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับรายละเอียดการก่อสร้างเพื่อให้ประชาชนและเจ้าของที่ดินบริเวณใกล้เคียงได้ทราบ อันเป็นการไม่ดำเนินการตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ต่อมาผู้ฟ้องคดีได้นำหลักฐานจากสำนักงานที่ดินจังหวัดสระบุรีแสดงต่อผู้ถูกฟ้องคดีเพื่อแสดงถึงสิทธิในที่ดินดังกล่าว และได้ขอดูหลักฐานการถือสิทธิในที่ดินพิพาท โดยขอใช้สิทธิตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ปรากฏว่า ผู้ถูกฟ้องคดีไม่สามารถนำหลักฐานการถือสิทธิตามกฎหมายใดๆ มาแสดงได้ ทั้งผู้ถูกฟ้องคดีได้มีหนังสือแจ้งเตือนขอให้ผู้ฟ้องคดีปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยทางหลวงเพื่อบังคับให้ผู้ฟ้องคดีรื้อถอนรั้ว มิฉะนั้นจะดำเนินการตามกฎหมาย ทั้งที่บริเวณที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินของผู้ฟ้องคดี ถือว่าผู้ถูกฟ้องคดีใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าเสียหายจากการรุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดีคิดเป็นเนื้อที่ ๑๔ ตารางวา ราคาตารางวาละ ๑,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๑๔,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย
ผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ผู้ถูกฟ้องคดีไม่ได้ก่อสร้างถนนและคันทางรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้ฟ้องคดี การดำเนินโครงการซ่อมแซมผิวจราจรและคันทางถนนพิพาทได้ดำเนินการไปตามสภาพพื้นที่ที่ปรากฏอยู่เดิมซึ่งเป็นทางสาธารณประโยชน์ ผู้ฟ้องคดีได้ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๗๒๐๒ ภายหลังผู้ถูกฟ้องคดีดำเนินการโครงการซ่อมแซมผิวจราจรและคันทางดังกล่าว ซึ่งเจ้าของที่ดินเดิมไม่ได้โต้แย้งคัดค้านการสร้างทางถนนสาธารณประโยชน์ดังกล่าวถือเป็นการอุทิศที่ดินโดยปริยาย ผู้ฟ้องคดีจึงไม่มีสิทธิดีกว่าเจ้าของที่ดินเดิม การออกหนังสือแจ้งเตือนของผู้ถูกฟ้องคดีเป็นไปโดยเหมาะสมและไม่เป็นการใช้อำนาจโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ข้อกล่าวอ้างที่ว่าผู้ถูกฟ้องคดีไม่ติดป้ายประชาสัมพันธ์ไม่เป็นความจริง ผู้ถูกฟ้องคดีได้ปฏิบัติตามกฎหมายโดยถูกต้องครบถ้วน จึงไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้ฟ้องคดี ทั้งค่าเสียหายที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างไม่ใช่ราคาที่มีความน่าเชื่อถือที่จะนำมาพิจารณา ขอให้ยกฟ้อง
ผู้ถูกฟ้องคดียื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินโดยแท้ อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อพิจารณาคำฟ้องและคำขอในคดีนี้แล้วเห็นว่าเป็นกรณีที่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีดำเนินการก่อสร้างและขยายเขตทางรุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดี จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และมีประเด็นแห่งคดีที่ศาลปกครองจะต้องวินิจฉัยว่า ผู้ถูกฟ้องคดีจะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ เพียงใด โดยมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในเบื้องต้นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีได้กระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ ซึ่งแม้การที่ศาลจะต้องพิจารณาให้ได้ความก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดีหรือเป็นที่ดินของรัฐประเภทที่สาธารณะหรือที่ราชพัสดุ ซึ่งเป็นดังกล่าวเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลจะต้องพิจารณาในเนื้อหาของคดี ซึ่งศาลปกครองมีอำนาจวินิจฉัยประเด็นเกี่ยวพันดังกล่าวได้ และแม้ว่าการพิจารณาเรื่องกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในทรัพย์สินจะต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือประมวลกฎหมายที่ดินก็ตาม แต่การนำบทบัญญัติดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีก็มิใช่เกณฑ์ที่จะพิจารณาว่าคดีอยู่ในอำนาจศาลใด อีกทั้งไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดห้ามศาลปกครองแสวงหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินหรือมิให้นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้หรือมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดกำหนดให้เป็นอำนาจของศาลใดไว้โดยเฉพาะ คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดสระบุรีพิจารณาแล้วเห็นว่า ประเด็นข้อพิพาทในคดีนี้มีที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๗๒๐๒ ในส่วนที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดีหรือไม่ ดังนั้นการที่ศาลจะวินิจฉัยข้อพิพาทว่า ผู้ถูกฟ้องคดีกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่นั้น จำต้องอาศัยข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติในเบื้องต้นก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดีหรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินตามที่ผู้ถูกฟ้องคดียกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ การพิจารณาวินิจฉัยในประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวจำต้องพิจารณาข้อเท็จจริงไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๔ ว่าด้วยทรัพย์สิน การพิจารณาข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงเป็นอำนาจของศาลยุติธรรม

คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง ข้อเท็จจริงที่ผู้ฟ้องคดีและผู้ถูกฟ้องคดีกล่าวอ้างและโต้แย้งกันสรุปได้ว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๗๒๐๒ ได้รับความเดือดร้อนเสียหายกรณีผู้ถูกฟ้องคดีโดยสำนักงานทางหลวงชนบท จังหวัดสระบุรี ทำการก่อสร้างและขยายถนนรุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดีคิดเป็นเนื้อที่ ๑๔ ตารางวา ทั้งผู้ถูกฟ้องคดียังไม่ดำเนินการตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ โดยไม่ติดประกาศงานก่อสร้างเพื่อแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับรายละเอียดการก่อสร้างเพื่อให้ประชาชนและเจ้าของที่ดินบริเวณใกล้เคียงได้ทราบ เมื่อผู้ฟ้องคดีขอดูหลักฐานการถือสิทธิในที่ดินพิพาท ผู้ถูกฟ้องคดีก็ไม่สามารถนำหลักฐานการถือสิทธิตามกฎหมายใดๆ มาแสดงได้ อีกทั้งผู้ถูกฟ้องคดีได้มีหนังสือแจ้งให้ผู้ฟ้องคดีปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยทางหลวงเพื่อบังคับให้ผู้ฟ้องคดีรื้อถอนรั้ว ทั้งที่บริเวณที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินของผู้ฟ้องคดี ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าเสียหายจากการรุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดี ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า การดำเนินโครงการซ่อมแซมผิวจราจรและคันทางถนนพิพาทดำเนินการไปตามสภาพพื้นที่ที่ปรากฏอยู่เดิมซึ่งเป็นทางสาธารณประโยชน์ที่เจ้าของที่ดินเดิมได้อุทิศที่ดินให้เป็นที่สาธารณะโดยปริยาย ผู้ฟ้องคดีจึงไม่มีสิทธิดีกว่าเจ้าของที่ดินเดิม ข้อกล่าวอ้างของผู้ฟ้องคดีไม่เป็นความจริง จึงไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้ฟ้องคดี เห็นว่า เมื่อพิจารณาความมุ่งหมายในการฟ้องคดีนี้ก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่าตนมีสิทธิเป็นสำคัญ การที่ผู้ถูกฟ้องคดีจะปฏิบัติตามคำขอของผู้ฟ้องคดีได้ก็จะต้องดำเนินการไปตามข้อเท็จจริงที่รับฟังได้เป็นยุติ ศาลจึงจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นที่สาธารณประโยชน์แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง นางเมตตา สังข์สุวรรณ์ ผู้ฟ้องคดี กรมทางหลวงชนบท ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

(ลงชื่อ) ดิเรก อิงคนินันท์ (ลงชื่อ) จิรนิติ หะวานนท์
(นายดิเรก อิงคนินันท์) (นายจิรนิติ หะวานนท์)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม

(ลงชื่อ) ปิยะ ปะตังทา (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายปิยะ ปะตังทา) (นายจรัญ หัตถกรรม)
รองประธานศาลปกครองสูงสุดคนที่หนึ่ง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
ปฏิบัติหน้าที่แทนประธานศาลปกครองสูงสุด

(ลงชื่อ) พลเรือโท ปรีชาญ จามเจริญ (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(ปรีชาญ จามเจริญ) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร

(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ

Share