แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ
ย่อสั้น
ไม่มีย่อสั้น
ย่อยาว
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๔๓/๒๕๕๔
วันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๔
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓)
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองขอนแก่น
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๑ นางสาวศรวิวัลย์ หรือล้อม มุลเมือง โจทก์ ยื่นฟ้อง กรมชลประทาน จำเลย ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๕๙๓๗/๒๕๕๑ ความว่า โจทก์เป็นเจ้าของและครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓) เลขที่ ๑๗ ตำบลหนองเทาใหญ่ อำเภอปลาปาก จังหวัดนครพนม เนื้อที่ ๒๕ ไร่ ๑ งาน ๑๐ ตารางวา โดยรับมรดกมาจากบิดา จำเลยซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวบางส่วนจำนวน ๕ ไร่ ๓๖ ตารางวา เพื่อสร้างประตูระบายน้ำในโครงการน้ำก่ำและโครงการพัฒนาลุ่มน้ำสงครามของจำเลย เมื่อจำเลยเข้าก่อสร้างประตูระบายน้ำบ้านตับเต่าตามโครงการดังกล่าวเจ้าหน้าที่ของจำเลยบุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์ในส่วนที่ไม่ได้ขายให้แก่จำเลยแล้วทำการขุด เจาะ และก่อสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และลึกลงไปในที่ดินของโจทก์เป็นเนื้อที่ไม่น้อยกว่า ๒ ไร่ ต่อมาจำเลยมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ขายที่ดินบริเวณดังกล่าวอ้างว่าได้มีพระราชกฤษฎีกาให้เวนคืนที่ดินดังกล่าวและได้ฝากเงินค่าเวนคืนที่ดินพร้อมค่าทดแทนไม้ยืนต้น จำนวน ๘๙,๘๐๐ บาท ไว้ที่ธนาคารให้แก่โจทก์แล้ว แต่โจทก์ไม่ประสงค์จะรับเงินดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่า การปฏิบัติงานในหน้าที่ของจำเลยดังกล่าวเป็นการกระทำละเมิดและก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อโจทก์ ขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายเป็นเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท และให้จำเลยทำที่ดินให้กลับคืนสภาพเดิม หากไม่สามารถทำได้ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์อีกเป็นเงิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้ถือเอาเงินจำนวน ๘๙,๘๐๐ บาท ที่จำเลยวางไว้แก่โจทก์ที่ธนาคารดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งแห่งค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า จำเลยได้รับงบประมาณมาก่อสร้างประตูระบายน้ำบ้านตับเต่าจึงจัดซื้อที่ดินจากราษฎรในบริเวณพื้นที่ดังกล่าว โดยในส่วนที่ดินของโจทก์ซื้อไว้ ๒ จุด จุดแรกเนื้อที่ ๑ งาน ๙๕ ตารางวา จุดที่ ๒ เนื้อที่ ๔ ไร่ ๒ งาน ๔๑ ตารางวา แต่ที่ดินจุดที่ ๒ ไม่พอก่อสร้าง จำเลยจึงขอซื้อที่ดินจากโจทก์เพิ่มเติมประมาณ ๒ ไร่เศษ แต่โจทก์ไม่ยอมขายอ้างว่าทางโครงการใช้พื้นที่เกินกว่าที่ตกลงไว้ จำเลยเพียงแต่ปักหลักเขตให้เห็นว่าจะต้องใช้พื้นที่เพิ่มเติมจากที่ซื้อไว้เดิมว่าเป็นจำนวนเนื้อที่เท่าใด จำเลยไม่ได้เข้าไปขุด เจาะ ก่อสร้างหรือกระทำการใด ๆ อันเป็นการรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ จำเลยก่อสร้างในพื้นที่ที่จำเลยซื้อมาจากโจทก์เท่านั้น จำเลยระงับการก่อสร้างในบริเวณดังกล่าวตั้งแต่ปี ๒๕๔๖ และในปี ๒๕๔๙ ได้มีพระราชกฤษฎีกาเวนคืนที่ดินของโจทก์เนื้อที่ ๒ ไร่ ๖๘ ตารางวา ตามที่จำเลยร้องขอ จำเลยนำเงินค่าเวนคืนฝากธนาคารในนามของโจทก์แล้ว แต่ไม่อาจเข้าไปก่อสร้างได้เนื่องจากโจทก์กับพวกขัดขวาง จำเลยไม่ได้ทำละเมิดต่อโจทก์ คดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้ตามคำฟ้องโจทก์อ้างว่า จำเลยซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองกระทำละเมิดต่อโจทก์ด้วยการบุกรุกเข้าไปก่อสร้างในที่ดินพิพาทของโจทก์และพื้นที่ต่อเนื่องประมาณ ๑๐ กว่าไร่ ได้รับความเสียหายไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้ จึงมีลักษณะเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่น ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้เป็นคดีที่เอกชนยื่นฟ้องหน่วยงานปกครองว่ากระทำละเมิดโดยบุกรุกเข้าไปขุดเจาะเพื่อก่อสร้างประตูระบายน้ำบ้านตับเต่าตามโครงการของจำเลยในที่ดินของโจทก์ ทำให้ที่ดินของโจทก์เสียหาย ใช้ทำประโยชน์ไม่ได้อย่างเช่นเคยและเกิดแอ่งน้ำขนาดใหญ่ ขอให้จำเลยทำให้ที่ดินของโจทก์บริเวณที่จำเลยขุดเจาะก่อสร้างให้กลับคืนดังเดิม โดยจำเลยเสียค่าใช้จ่ายเองและเรียกค่าเสียหาย จำเลยให้การว่า ไม่ได้บุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์ จำเลยได้ทำการก่อสร้างในเขตที่ดินที่จำเลยซื้อมาจากโจทก์เท่านั้น ส่วนที่ดินของโจทก์ที่เสียหายใช้ทำประโยชน์อย่างเช่นเคยไม่ได้นั้นก็เป็นมาแต่ก่อนอยู่แล้ว จำเลยจึงไม่ต้องรับผิด ดังนั้นคดีนี้ศาลจึงต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือของจำเลยแล้ว จึงจะพิจารณาต่อไปว่าการกระทำของจำเลยเป็นละเมิดหรือไม่ จะต้องชดใช้ค่าเสียหายเพียงใด อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองขอนแก่นพิจารณาแล้วเห็นว่า เกณฑ์การพิจารณาในเรื่องเขตอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลปกครองและศาลยุติธรรมจะต้องพิจารณาเขตอำนาจของศาลปกครอง เป็นสำคัญ หากคดีพิพาทใดอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้ว ศาลยุติธรรมย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนั้น ตามนัยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๑๘ ประกอบมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง คดีนี้จำเลยเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยที่มาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติการชลประทานหลวง พุทธศักราช ๒๔๘๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการชลประทานหลวง (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๓๐ ได้บัญญัติให้กรมชลประทานมีอำนาจนำเอาอสังหาริมทรัพย์ของเอกชนไปใช้เพื่อประโยชน์แก่กรมชลประทานได้ โดยการตกลงการโอนกับเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ แต่ถ้ามิได้ตกลงการโอนไว้เป็นอย่างอื่นให้ดำเนินการเวนคืนตามกฎหมาย ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ นอกจากนั้น ข้อ ๑ แห่งกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๔๕ กำหนดให้จำเลยมีภารกิจเกี่ยวกับการพัฒนาแหล่งน้ำตามศักยภาพของลุ่มน้ำให้เพียงพอโดยการจัดสรรน้ำให้กับผู้ใช้น้ำทุกประเภทเพื่อให้ผู้ใช้น้ำได้รับน้ำอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ตลอดจนป้องกันความเสียหายอันเกิดจากน้ำ โดยมีอำนาจหน้าที่ดำเนินการจัดให้ได้มาซึ่งน้ำ หรือกัก เก็บ รักษา ควบคุม ส่ง ระบายหรือแบ่งน้ำเพื่อเกษตรกรรม การพลังงาน การสาธารณูปโภคหรือการอุตสาหกรรม ดำเนินการเกี่ยวกับการป้องกันความเสียหายอันเกิดจากน้ำ ความปลอดภัยของเขื่อนและอาคารประกอบฯ รวมทั้งมีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการอื่นใดตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของกรมชลประทาน หรือตามที่กระทรวง หรือคณะรัฐมนตรีมอบหมาย ดังนั้นการก่อสร้างประตูระบายน้ำบ้านตับเต่าตามโครงการน้ำก่ำและโครงการพัฒนาลุ่มน้ำสงครามของจำเลย จึงเป็นการใช้อำนาจทางปกครอง และปฏิบัติหน้าที่ในการดำเนินกิจการทางปกครองตามที่กฎหมายกำหนด การที่โจทก์ฟ้องว่าการดำเนินโครงการของจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมายและทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย กรณีตามฟ้องของโจทก์ จึงมีลักษณะเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ อันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับตามคำขอของโจทก์ได้ ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว สำหรับประเด็นที่ว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือของจำเลย นั้น เห็นว่า โดยที่ข้อเท็จจริงปรากฏว่า จำเลยยอมรับว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์จึงได้ดำเนินการขอซื้อเพิ่มเติมและได้มีการออกพระราชกฤษฎีกาเวนคืนที่ดินดังกล่าวภายหลัง ไม่มีข้อเท็จจริงใดที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยโต้แย้งเรื่องสิทธิในที่ดิน คดีจึงไม่มีประเด็นพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินแต่อย่างใด และกรณีไม่เข้าข้อยกเว้นที่ไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ดังนั้น คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองกระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ดังนั้น ศาลยุติธรรมจึงย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้ตามนัยมาตรา ๒๑๘ ประกอบมาตรา ๒๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า โดยที่มาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติการชลประทานหลวง พุทธศักราช ๒๔๘๕ บัญญัติให้จำเลยมีอำนาจนำเอาอสังหาริมทรัพย์ของเอกชนไปใช้ประโยชน์แก่การชลประทานได้ โดยการตกลงการโอนกับเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ แต่ถ้ามิได้ตกลงการโอนไว้ เป็นอย่างอื่นให้ดำเนินการเวนคืนตามกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ นอกจากนี้ จำเลยยังมีอำนาจหน้าที่ดำเนินการจัดให้ได้มาซึ่งน้ำ หรือกัก เก็บ รักษา ควบคุม ส่ง ระบายหรือแบ่งน้ำเพื่อเกษตรกรรม การพลังงาน การสาธารณูปโภค หรือการอุตสาหกรรม ดำเนินการเกี่ยวกับการป้องกันความเสียหายอันเกิดจากน้ำ ความปลอดภัยของเขื่อนและอาคารประกอบฯ ตามข้อ ๑ ของกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๔๕ การก่อสร้างประตูระบายน้ำบ้านตับเต่าตามโครงการน้ำก่ำและโครงการพัฒนาลุ่มน้ำสงครามของจำเลย จึงเป็นการใช้อำนาจทางปกครองและปฏิบัติหน้าที่ในการดำเนินกิจการทางปกครองตามที่กฎหมายกำหนด เมื่อโจทก์ฟ้องว่าการดำเนินโครงการดังกล่าวของจำเลยได้บุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์ในส่วนที่โจทก์ไม่ได้ขายให้แก่จำเลย และเมื่อโจทก์ไม่ยอมขายที่ดินบริเวณพิพาทให้แก่จำเลยเพิ่มเติม จำเลยจึงออก พระราชกฤษฎีกาเวนคืนที่ดินบริเวณที่ต้องใช้เพิ่มเติมดังกล่าว ซึ่งโจทก์เห็นว่ามีเจตนาเพื่อกลบเกลื่อนปิดบังหรือลบล้างความผิดอันเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย กรณีจึงเป็นข้อพิพาทอันเนื่องมาจากการใช้อำนาจทางปกครองและการดำเนินกิจการทางปกครอง และเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ประกอบกับมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ทั้งจำเลยก็ยอมรับว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์จึงขอซื้อเพิ่มเติมและออกพระราชกฤษฎีกาเวนคืนที่ดินดังกล่าวในภายหลัง คดีนี้จึงไม่มีข้อโต้แย้งหรือประเด็นพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินแต่อย่างใด
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนางสาวศรวิวัลย์ หรือล้อม มุลเมือง โจทก์ กรมชลประทาน จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ศิลปชัย สรภักดี (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศิลปชัย สรภักดี) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ