คำวินิจฉัยที่ 38/2557

แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ

ย่อสั้น

โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องหน่วยงานทางปกครองเป็นจำเลย อ้างว่าเป็นเจ้าของผู้ครอบครองทำประโยชน์ที่ดินมือเปล่าและที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓) โดยต่างครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวมานานหลายสิบปี โจทก์ได้ยื่นคำขอรังวัดออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครสวรรค์ แต่เจ้าพนักงานที่ดินไม่ดำเนินการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์และไม่ยอมรับคำร้องขออ้างว่าที่ดินอาจอยู่ในเขตที่ดินสาธารณประโยชน์ทุ่งหนองหลวง การกระทำของจำเลยเป็นการโต้แย้งสิทธิครอบครองหรือกรรมสิทธิ์ในที่ดินของโจทก์ จำเลยให้การว่า ที่ดินที่นำมาขอออกโฉนดหรือหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าเป็นผู้ครอบครองหรือมีการแจ้งการครอบครองที่ดิน และที่ดินของโจทก์อยู่ในเขตที่ดินสาธารณประโยชน์ทุ่งหนองหลวง จำเลยจึง ไม่สามารถออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินและรับคำขอออกโฉนดที่ดินได้จำเลยปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย เห็นว่า เมื่อพิจารณาความมุ่งหมายของโจทก์ในการใช้สิทธิทางศาลก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของโจทก์ การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้นั้น ศาลจำต้องพิจาณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ตามที่กล่าวอ้างหรือไม่เป็นสำคัญแล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นได้ต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

ย่อยาว

(สำเนา)

คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๓๘ /๒๕๕๗

วันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๗

เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน

ศาลจังหวัดนครสวรรค์
ระหว่าง
ศาลปกครองพิษณุโลก

การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดนครสวรรค์โดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น

ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๕ นายสำรวย ยุพาพิน โจทก์ ยื่นฟ้องกรมที่ดิน จำเลย ต่อศาลจังหวัดนครสวรรค์ เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๑๑๗/๒๕๕๕ และมีโจทก์รายอื่นยื่นฟ้องจำเลยในทำนองเดียวกันอีกสามสิบสี่สำนวน ซึ่งศาลสั่งให้รวมการพิจารณาคดีทั้งหมดรวมสามสิบห้าสำนวน โดยให้เรียกโจทก์ในสำนวนคดีหมายเลขดำที่ ๑๑๑๗/๒๕๕๕, ๑๑๑๘/๒๕๕๕,๑๓๐๗-๑๓๓๘/๒๕๕๕ และโจทก์ที่ ๑ และโจทก์ที่ ๒ ในสำนวนคดีหมายเลขดำที่ ๑๓๕๕/๒๕๕๕ ว่าโจทก์ที่ ๑ ถึงโจทก์ที่ ๓๖ ตามลำดับ และเรียกจำเลยทุกสำนวนว่าจำเลย ความว่า โจทก์ทั้งสามสิบห้าสำนวนฟ้องทำนองเดียวกันว่า โจทก์ที่ ๑ และโจทก์ที่ ๔ ถึงโจทก์ที่ ๒๐ เป็นเจ้าของผู้ครอบครองทำประโยชน์ที่ดินมือเปล่า ตำบลวังมหากร อำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ ส่วนโจทก์ที่ ๒ โจทก์ที่ ๓ โจทก์ที่ ๒๑ ถึงโจทก์ที่ ๓๖ เป็นเจ้าของผู้ครอบครองทำประโยชน์ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓) เลขที่ ๓๓๐,๑๑๙, ๓๓๓,๓๔๒, ๓๒๙/๗๔, ๓๒๘, ๓๔๓, ๓๓๒/๗๔, ๑๖๐, ๓๗๐, ๓๓๔, ๓๔๔ ,๓๖๗, ๓๖๙, ๗๔, ๓๓๑/๗๔ และ๓๒๗ ตำบลวังมหากร อำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ ตามลำดับ โดยโจทก์ทั้งสามสิบหกต่างครอบครอง ทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวมานานหลายสิบปี โจทก์ทั้งสามสิบหกได้ยื่นคำขอรังวัดออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครสวรรค์ สาขาท่าตะโก แต่เจ้าพนักงานที่ดินไม่ดำเนินการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ และไม่ยอมรับคำร้องขอ อ้างว่าที่ดินของโจทก์ทั้งสามสิบหกอาจอยู่ในเขตที่ดินสาธารณประโยชน์ทุ่งหนองหลวง การกระทำของจำเลยเป็นการโต้แย้งสิทธิครอบครองหรือกรรมสิทธิ์ในที่ดินของโจทก์ทั้งสามสิบหก ขอให้ศาลพิพากษาแสดงสิทธิหรือกรรมสิทธิ์ในที่ดินแก่โจทก์ทั้งสามสิบหกกับขอให้บังคับจำเลยออกโฉนดที่ดินแก่โจทก์ทั้งสามสิบหก
จำเลยทั้งสามสิบห้าสำนวนให้การทำนองเดียวกันว่า ที่ดินที่โจทก์ที่ ๑ และโจทก์ที่ ๔ ถึงโจทก์ที่ ๑๙ นำมาขอออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าเป็นผู้ครอบครองหรือมีการแจ้งการครอบครองที่ดินมาก่อนใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ส่วนที่ดินของโจทก์ที่ ๒ โจทก์ที่ ๓ และโจทก์ที่ ๒๐ ถึงโจทก์ที่ ๓๖ อยู่ในเขตที่ดินสาธารณประโยชน์ทุ่งหนองหลวง ซึ่งอยู่ระหว่างการสอบสวนยืนยันขององค์การบริหารส่วนตำบลวังมหากรและนายอำเภอท่าตะโกว่าที่ดินอยู่ในเขตที่ดินสาธารณะหรือไม่ ดังนี้ที่ดินของโจทก์ทั้งสามสิบหกอยู่ในเขตที่ดินสาธารณประโยชน์ จำเลยจึงไม่สามารถออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินและรับคำขอออกโฉนดที่ดินได้ จำเลยปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว โจทก์ที่ ๑ ถึงโจทก์ที่ ๖ โจทก์ที่ ๑๐ โจทก์ที่ ๑๓ โจทก์ที่ ๑๕ ถึงโจทก์ที่ ๓๐ และโจทก์ที่ ๓๒ ได้ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลปกครองพิษณุโลก ในประเด็นที่อ้างว่าจำเลยได้ดำเนินการแก้ไขเปลี่ยนแปลงระวางแผนที่โฉนดที่ดิน ย้ายที่ดินสาธารณประโยชน์ทุ่งหนองหลวงให้มาอยู่บริเวณที่ดินของโจทก์ทั้งสามสิบหกโดยมิชอบ ขอให้บังคับจำเลยออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์แก่โจทก์อันเป็นประเด็นเดียวกันกับคดีนี้ ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๓ (๑) ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดนครสวรรค์พิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยเป็นหน่วยงานทางปกครองการที่โจทก์ทั้งสามสิบหกอ้างว่าเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท ขอให้ศาลพิพากษาแสดงสิทธิหรือกรรมสิทธิ์ในที่ดินแก่โจทก์ทั้งสามสิบหกเป็นเจ้าของผู้ครอบครองในที่ดินพิพาท ข้อเท็จจริงตามคำฟ้อง เป็นกรณีโจทก์ทั้งสามสิบหกมุ่งประสงค์ให้ศาลมีคำพิพากษารับรองหรือคุ้มครองสิทธิในที่ดินของโจทก์ทั้งสามสิบหก ดังนี้เห็นได้ว่าโจทก์ทั้งสามสิบหกและจำเลยยังคงโต้เถียงกันเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินว่าเป็นของโจทก์หรือไม่เป็นสำคัญ อันศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสามสิบหกตามที่กล่าวอ้างหรือไม่ จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษา ของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองพิษณุโลกพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้จำเลยเป็นหน่วยงานทางปกครอง โดยจำเลยมีหน้าที่ในการจัดทำทะเบียนที่ดิน โอนทะเบียนที่ดิน รังวัด ตรวจสอบ จัดทำแผนที่ที่ดินออกโฉนดที่ดิน และเมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าที่ดินบริเวณที่ขอออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นที่สาธารณประโยชน์ เจ้าพนักงานที่ดินมีหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ปรากฏชัดด้วยขั้นตอนและวิธีการตามนัยของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๕ เมื่อโจทก์ทั้งสามสิบหกฟ้องว่าเจ้าพนักงานที่ดิน สำนักงานที่ดินจังหวัดนครสวรรค์ สาขาท่าตะโกเพิกเฉย ปฏิเสธไม่ยอมออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ รวมทั้งไม่ยอมรับคำขอรังวัดให้แก่โจทก์ทั้งสามสิบหก ตามที่ยื่นคำร้องขอเป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสามสิบหกต้องเสียสิทธิในที่ดิน ดังนั้นกรณีพิพาทจึงเป็นกรณีโต้แย้งกันเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด คดีดังกล่าว จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๒) อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง

คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ทั้งสามสิบหกเป็นเอกชนยื่นฟ้องหน่วยงานทางปกครองเป็นจำเลย ตามคำฟ้องโจทก์อ้างว่า โจทก์ทั้งสามสิบหกเป็นเจ้าของผู้ครอบครองทำประโยชน์ที่ดินมือเปล่า และเป็นเจ้าของผู้ครอบครองทำประโยชน์ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓) โดยโจทก์ทั้งสามสิบหกต่างครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวมานานหลายสิบปี โจทก์ทั้งสามสิบหกได้ยื่นคำขอรังวัดออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครสวรรค์ แต่เจ้าพนักงานที่ดินไม่ดำเนินการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์และไม่ยอมรับคำร้องขอ อ้างว่าที่ดินอาจอยู่ในเขตที่ดินสาธารณประโยชน์ทุ่งหนองหลวง การกระทำของจำเลยเป็นการโต้แย้งสิทธิครอบครองหรือกรรมสิทธิ์ในที่ดินของโจทก์ทั้งสามสิบหก ขอให้ศาลพิพากษาแสดงสิทธิหรือกรรมสิทธิ์ ในที่ดินกับขอให้บังคับจำเลยออกโฉนดที่ดินแก่โจทก์ทั้งสามสิบหก จำเลยให้การทำนองเดียวกันว่า ที่ดินที่นำมาขอออกโฉนดหรือหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าเป็นผู้ครอบครองหรือมีการแจ้งการครอบครองที่ดิน และที่ดินของโจทก์อยู่ในเขตที่ดินสาธารณประโยชน์ทุ่งหนองหลวง จำเลยจึงไม่สามารถออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินและรับคำขอออกโฉนดที่ดินได้ จำเลยปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย เห็นว่า เมื่อพิจารณาความมุ่งหมายของโจทก์ทั้งสามสิบหก ในการใช้สิทธิทางศาลก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของโจทก์ทั้งสามสิบหก การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของโจทก์ทั้งสามสิบหกได้นั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสามสิบหกตามที่กล่าวอ้างหรือไม่ เป็นสำคัญแล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นได้ต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง นายสำรวย ยุพาพิน กับพวกรวม ๓๖ คน โจทก์ กรมที่ดิน จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

(ลงชื่อ) นายดิเรก อิงคนินันท์ (ลงชื่อ) นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายดิเรก อิงคนินันท์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม

(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง

(ลงชื่อ) พลเรือโท กฤษฎา เจริญพานิช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(กฤษฎา เจริญพานิช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร

(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ

Share