คำวินิจฉัยที่ 35/2558

แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ

ย่อสั้น

คดีนี้เป็นคดีที่เอกชนยื่นฟ้องเจ้าหน้าที่ของรัฐว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินร่วมกับน้องชายโจทก์และได้ขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๓๐๑๗ และ ๒๗๓๓๔ ให้แก่ผู้มีชื่อแต่ได้จดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๗๖๓๘ โดยสำคัญผิดว่าอยู่ติดกับโฉนดเลขที่ ๑๓๐๑๗ โจทก์จึงยื่นฟ้องต่อขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินที่พิพาท ศาลมีคำพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินที่พิพาท ในระหว่างพิจารณาคดี ผู้มีชื่อยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (คชก.) ตำบล โดยอ้างว่าโจทก์เป็นผู้เช่าที่ดินของตน ซึ่งคชก. ตำบล และ คชก. จังหวัดมีคำวินิจฉัยให้โจทก์ชำระค่าเช่านา คำวินิจฉัยของ คชก. ทั้งสองชุดจึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ขอให้ศาลเพิกถอนมติที่ประชุมและคำวินิจฉัยของ คชก. ที่พิพาททั้งสองชุด จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๕ ให้การว่า ประเด็นที่โจทก์อ้างว่ามีการโอนที่ดินผิดแปลงนั้น คำพิพากษายังไม่ถึงที่สุด เมื่อผู้มีชื่อนั้นเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดิน โจทก์จึงต้องชำระค่าเช่านาตามกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า การที่ศาลจะพิพากษาหรือมีคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ตามที่กล่าวอ้างหรือไม่เป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

ย่อยาว

(สำเนา)

คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๓๕/๒๕๕๘

วันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๘

เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน

ศาลจังหวัดชัยนาท
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง

การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดชัยนาทโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น

ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๖ นางกาญจนา โพธิ์เลื้อย โจทก์ ยื่นฟ้อง นายวิทวัส มุขเฉลิมวงศ์ ที่ ๑ กับพวกรวม ๒๕ คน จำเลย ต่อศาลจังหวัดชัยนาท เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๗๓๙/๒๕๕๖ ความว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๑๓๐๑๗, ๒๗๓๓๔ และ ๒๗๖๓๘ ตำบลโพนางดำตก อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๓๐๑๗ และ ๒๗๓๓๔ มีอาณาเขตติดต่อเป็นผืนเดียวกัน ตั้งอยู่หมู่ที่ ๒ ตำบลโพนางดำตก ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๗๖๓๘ ตั้งอยู่หมู่ที่ ๑ ตำบลโพนางดำตก โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๓๐๑๗ และ ๒๗๖๓๘ ร่วมกับนายเทียนชัย โพธิ์เลื้อย น้องชายโจทก์ จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๓ เป็นคณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (คชก.) ประจำตำบลโพนางดำตก จำเลยที่ ๑๔ ถึงที่ ๒๕ เป็น คชก. ประจำจังหวัดชัยนาท โจทก์และนายเทียนชัยขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๓๐๑๗ และ ๒๗๓๓๔ ให้แก่นางพิชญามณฑ์หรือสุภัค เทียนบางธัญโรจ หรือเทียนบาง และโจทก์จดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๓๐๑๗ และ ๒๗๖๓๘ ให้โดยสำคัญผิดว่าที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๗๖๓๘ อยู่ติดกับโฉนดเลขที่ ๑๓๐๑๗ จึงเป็นการจดทะเบียนโอนขายที่ดินผิดแปลง หลังจากขายแล้วนางพิชญามณฑ์ครอบครองทำประโยชน์ในโฉนดเลขที่ ๑๓๐๑๗ และ ๒๗๓๓๔ ส่วนโจทก์ครอบครองทำประโยชน์ในโฉนดเลขที่ ๒๗๖๓๘ มาโดยตลอด ต่อมาโจทก์และนายเทียนชัยทราบว่าจดทะเบียนโอนขายที่ดินผิดแปลงจึงแจ้งให้นางพิชญามณฑ์ทำการโอนที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๒๗๖๓๘ คืน แต่นางพิชญามณฑ์เพิกเฉย จึงได้ยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดชัยนาทเป็นคดีหมายเลขดำที่ ๗๐๒/๒๕๕๕ ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๗๖๓๘ ในระหว่างพิจารณาคดีนางพิชญามณฑ์ยื่นคำร้องต่อ คชก. ตำบลโพนางดำตก ขอให้พิจารณากำหนดค่าเช่านาโดยอ้างว่าโจทก์เป็นผู้เช่าที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๒๗๖๓๘ จากนางพิชญามณฑ์ ต่อมา คชก. ตำบลโพนางดำตก มีคำวินิจฉัยให้โจทก์ชำระค่าเช่านาแก่นางพิชญามณฑ์ โจทก์ได้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ศาลจังหวัดชัยนาทมีคำพิพากษาเป็นคดีหมายเลขแดงที่ ๕๗๖/๒๕๕๖ ให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๑๓๐๑๗ และ ๒๗๖๓๘ ดังกล่าว จากนั้น คชก. จังหวัดชัยนาท มีคำวินิจฉัยยืนตามคำวินิจฉัยของ คชก. ตำบลโพนางดำตก คำวินิจฉัยของ คชก. ทั้งสองชุดจึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ขอให้ศาลเพิกถอนมติที่ประชุมและคำวินิจฉัยของ คชก. ที่พิพาททั้งสองชุด
จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๕ ให้การว่า ประเด็นที่โจทก์อ้างว่ามีการโอนที่ดินผิดแปลงนั้น คำพิพากษายังไม่ถึงที่สุด เมื่อนางพิชญามณฑ์มีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดิน โจทก์จึงต้องชำระค่าเช่านาตามกฎหมาย คำวินิจฉัยของ คชก. ตำบลโพนางดำตก และ คชก. จังหวัดชัยนาท เป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ยังไม่ได้ชำระค่าเช่านาและยังไม่ถูกบังคับให้ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยดังกล่าว จึงยังมิได้ถูกโต้แย้งสิทธิ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๕ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า ข้อพิพาทในคดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดชัยนาทพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้จำเลยทั้งยี่สิบห้าจะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐก็ตาม แต่คำวินิจฉัยหรือคำสั่งของ คชก. ตำบลและ คชก. จังหวัดตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๒๔ มีลักษณะเป็นการรับรองสิทธิของเอกชน คือ ผู้ให้เช่าหรือผู้เช่าที่ดินเพื่อประกอบการเกษตรกรรมเท่านั้น ไม่ได้เป็นการใช้อำนาจที่มีลักษณะเป็นคำสั่งทางปกครอง ประกอบกับโจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องคดีนี้ว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๓๐๑๗, ๒๗๓๓๔ และ ๒๗๖๓๘ โดยได้ขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๓๐๑๗ และ ๒๗๓๓๔ ให้แก่นางพิชญามณฑ์ แต่จดทะเบียนโอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๓๐๑๗ และ ๒๗๖๓๘ ให้แก่นางพิชญามณฑ์ผิดแปลง โจทก์จึงยื่นฟ้องนางพิชญามณฑ์ต่อศาลจังหวัดชัยนาทขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินดังกล่าว นางพิชญามณฑ์ให้การต่อสู้อ้างว่าโจทก์ขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๗๖๓๘ ให้แก่ตน และตนได้ให้โจทก์เช่าที่ดินดังกล่าวทำนา ระหว่างพิจารณาคดีดังกล่าว คชก. ตำบลโพนางคำตกมีคำวินิจฉัยให้โจทก์ชำระค่าเช่านาแก่นางพิชญามณฑ์ โจทก์อุทธรณ์ต่อ คชก. จังหวัดชัยนาท ซึ่งก่อน คชก. จังหวัดชัยนาทจะมีคำวินิจฉัย ศาลจังหวัดชัยนาทมีคำพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินดังกล่าวแล้ว แต่คดียังไม่ถึงที่สุด จึงเป็นกรณีที่โจทก์และนางพิชญามณฑ์มีข้อพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินอยู่ในคดีอื่นของศาลยุติธรรม ทำให้ข้อเท็จจริงไม่ยุติว่า นาที่นางพิชญามณฑ์อ้างว่าให้โจทก์เช่านั้นเป็นของนางพิชญามนฑ์หรือโจทก์ เมื่อคดีนี้มีประเด็นหลักที่ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความในเบื้องต้นเสียก่อนว่า นาที่อ้างว่ามีการเช่านั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือนางพิชญามณฑ์ แล้วจึงจะพิจารณาในประเด็นอื่นต่อไป ดังนั้น คดีนี้จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินอันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๓ เป็นกรรมการใน คชก. ตำบลโพนางดำตก และจำเลยที่ ๑๔ ถึงที่ ๒๕ เป็นกรรมการใน คชก. จังหวัดชัยนาท จึงเป็นคณะกรรมการที่มีอำนาจหน้าที่ในการวินิจฉัยข้อพิพาทและเป็นคณะกรรมการที่มีกฎหมายให้อำนาจในการออกกฎ คำสั่ง หรือมติใด ๆ ที่มีผลกระทบต่อบุคคล จึงมีฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามนิยามในมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ดังนั้น มติของ คชก. ตำบลโพนางดำตก และของ คชก. จังหวัดชัยนาท ที่พิจารณาวินิจฉัยข้อพิพาท จึงเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ที่มีผลกระทบต่อสิทธิและหน้าที่ของโจทก์ อันเป็นคำสั่งทางปกครอง ตามนัยมาตรา ๕ ของพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ฉะนั้น เมื่อโจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลว่ามติของ คชก. ตำบลโพนางดำตกและมติของ คชก. จังหวัดชัยนาทซึ่งเป็นคำสั่งทางปกครองว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย และมีคำขอให้เพิกถอนมติดังกล่าว จึงเป็นกรณีที่โจทก์มุ่งประสงค์ให้ตรวจสอบการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นหลัก คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในการออกคำสั่งทางปกครอง ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และศาลปกครองมีอำนาจกำหนดคำบังคับให้เพิกถอนมติของ คชก. ตำบลโพนางดำตก และมติของ คชก. จังหวัดชัยนาท เพื่อเยียวยาความเดือดร้อนหรือเสียหายให้แก่โจทก์ได้ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน คดีนี้จึงมิได้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ส่วนกรณีที่คดีนี้อาจมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยก่อนว่า นาพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือของนางพิชญามณฑ์หรือสุภัค เทียนบางธัญโรจหรือเทียนบาง นั้น เป็นเพียงปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลจะต้องพิจารณาในเนื้อหาของคดีอันเป็นประเด็นย่อยข้อหนึ่งของประเด็นพิพาทหลักที่ศาลจะต้องพิจารณาให้ได้ความว่า มติของ คชก. ตำบลโพนางดำตก และของ คชก. จังหวัดชัยนาท ที่โจทก์ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้เพิกถอนชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ อย่างไร และแม้การพิจารณาในเรื่องกรรมสิทธิ์ของนาพิพาทจะต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือประมวลกฎหมายที่ดินอันเป็นกฎหมายทั่วไป แต่ก็มิได้มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดห้ามมิให้ศาลปกครองนำบทกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดี หรือกำหนดให้เป็นอำนาจของศาลหนึ่งศาลใดโดยเฉพาะที่จะนำบทกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้ประกอบกับตามมาตรา ๗๑ (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ก็ได้บัญญัติให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินใด ๆ คู่กรณีที่เกี่ยวข้องอาจอ้างกับบุคคลภายนอกได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกจะมีสิทธิดีกว่า อันเป็นการยืนยันให้เห็นว่าศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินและนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวข้องมาใช้บังคับแก่คดีได้เช่นกัน คดีนี้เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง

คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้เป็นคดีที่เอกชนยื่นฟ้องเจ้าหน้าที่ของรัฐว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินร่วมกับน้องชายโจทก์และได้ขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๓๐๑๗ และ ๒๗๓๓๔ ตำบลโพนางดำตก อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท ให้แก่นางพิชญามณฑ์ แต่ได้จดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๗๖๓๘ ให้โดยสำคัญผิดว่าที่ดินอยู่ติดกับโฉนดเลขที่ ๑๓๐๑๗ โจทก์จึงยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดชัยนาทขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๗๖๓๘ ศาลจังหวัดชัยนาทมีคำพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินที่พิพาท ในระหว่างพิจารณาคดี นางพิชญามณฑ์ยื่นคำร้องต่อ คชก. ตำบลโพนางดำตก โดยอ้างว่าโจทก์เป็นผู้เช่าที่ดินของตน ซึ่งคชก. ตำบลโพนางดำตก และ คชก. จังหวัดชัยนาทมีคำวินิจฉัยให้โจทก์ชำระค่าเช่านา คำวินิจฉัยของ คชก. ทั้งสองชุดจึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ขอให้ศาลเพิกถอนมติที่ประชุมและคำวินิจฉัยของ คชก. ที่พิพาททั้งสองชุด จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๕ ให้การว่า ประเด็นที่โจทก์อ้างว่ามีการโอนที่ดินผิดแปลงนั้น คำพิพากษายังไม่ถึงที่สุด เมื่อนางพิชญามณฑ์มีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดิน โจทก์จึงต้องชำระค่าเช่านาตามกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า การที่ศาลจะพิพากษาหรือมีคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ตามที่กล่าวอ้างหรือไม่เป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง นางกาญจนา โพธิ์เลื้อย โจทก์ นายวิทวัส มุขเฉลิมวงศ์ ที่ ๑ กับพวกรวม ๒๕ คน จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

(ลงชื่อ) ดิเรก อิงคนินันท์ (ลงชื่อ) จิรนิติ หะวานนท์
(นายดิเรก อิงคนินันท์) (นายจิรนิติ หะวานนท์)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม

(ลงชื่อ) ปิยะ ปะตังทา (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายปิยะ ปะตังทา) (นายจรัญ หัตถกรรม)
รองประธานศาลปกครองสูงสุดคนที่หนึ่ง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
ปฏิบัติหน้าที่แทนประธานศาลปกครองสูงสุด

(ลงชื่อ) พลเรือโท ปรีชาญ จามเจริญ (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(ปรีชาญ จามเจริญ) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร

(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ

Share