คำวินิจฉัยที่ 32/2557

แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ

ย่อสั้น

คดีนี้โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ซึ่งเป็นเอกชนด้วยกันและจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองว่า โจทก์เป็นเจ้าของครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓) โดยได้รับโอนจากนางเขียวมารดา โจทก์ไปติดต่อสำนักงานที่ดินสังกัดจำเลยที่ ๓ เพื่อขอออกโฉนดที่ดินตามหลักฐาน น.ส. ๓ ภายหลังสำนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมาได้ออกโฉนดที่ดินให้แก่นางเขียว หลังจากนั้นนางเขียวโอนที่ดินให้แก่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ การออกโฉนดที่ดินให้แก่นางเขียวไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งเพิกถอนโฉนดที่ดินที่ได้ออกทับที่ดินของโจทก์ เหตุแห่งการฟ้องคดีสืบเนื่องมาจากการออกโฉนดทับที่ดินตาม น.ส. ๓ ของโจทก์ อันเป็นกรณีโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน ทั้งความมุ่งหมายของโจทก์ที่ฟ้องต่อศาลก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของโจทก์ การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้นั้น ศาลจำต้องพิจาณา ให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ตามที่กล่าวอ้างหรือไม่เป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นได้ต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

ย่อยาว

(สำเนา)

คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๓๒/๒๕๕๗

วันที่ ๓ เมษายน ๒๕๕๗

เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน

ศาลจังหวัดบัวใหญ่
ระหว่าง
ศาลปกครองนครราชสีมา

การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดบัวใหญ่โดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น

ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๕๖ นางสมหวัง แข็งการ โจทก์ ยื่นฟ้อง นางมานิตย์ แก้วระหันที่ ๑ นางทองดำ แม่นมั่น ที่ ๒ กรมที่ดิน ที่ ๓ จำเลย ต่อศาลจังหวัดบัวใหญ่ เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๑๕/๒๕๕๖ ความว่า โจทก์เป็นเจ้าของครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดิน ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓) เลขที่ ๓๕๓ ตำบลหนองมะนาว อำเภอคง จังหวัดนครรราชสีมา เนื้อที่ประมาณ ๓๐ ไร่ ๔๐ ตารางวา โดยได้รับโอนจาก นางเขียว เวียรปรุใหญ่ มารดา ต่อมาวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๐ นางเขียวไปติดต่อสำนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา สาขาคง สังกัดจำเลยที่ ๓ เพื่อขอออกโฉนดที่ดินตามหลักฐาน น.ส. ๓ เลขที่ ๑๕๓ ตำบลหนองมะนาว อำเภอคง จังหวัดนครราชสีมา และนำเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดรุกล้ำเข้ามาในที่ดินโจทก์เนื้อที่ประมาณ ๘ ไร่ ๑ งาน ๘๗ ตารางวา ความจริงที่ดินตาม น.ส. ๓ เลขที่ ๑๕๓ ถูกขายและส่งมอบการครอบครอง แก่บุคคลภายนอกนานแล้วโดยมิได้จดทะเบียนและส่งมอบเอกสารสิทธิ ต่อมาสำนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา สาขาคง ได้ออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๓๕๕๗ ให้แก่นางเขียว หลังจากนั้นนางเขียวโอนที่ดินให้แก่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ การออกโฉนดที่ดินให้แก่นางเขียวไม่ชอบด้วยกฎหมายเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จึงมิใช่เจ้าของที่แท้จริงไม่มีสิทธิในที่ดิน ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งเพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๓๕๕๗ ที่ได้ออกทับที่ดินของโจทก์
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การว่า จำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โฉนดที่ดินเลขที่ ๓๓๕๕๗ ที่ดินแปลงดังกล่าวได้รับการยกให้จาก นางเขียว เวียรปรุใหญ่ โจทก์ไม่ใช่เจ้าของที่ดินพิพาท การออกโฉนดที่ดินของสำนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา ชอบด้วยกฎหมายแล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๓๕๕๗ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า การออกโฉนดที่ดินพิพาทเป็นการปฏิบัติตามกฎหมายทุกประการ จำเลยที่ ๓ จึงไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า จำเลยที่ ๓ เป็นหน่วยงานของรัฐ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองออกคำสั่งทางปกครอง โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดบัวใหญ่พิจารณาแล้วเห็นว่า แม้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนโฉนดที่ดินดังกล่าวและจำเลยที่ ๓ โต้แย้งว่าตามคำฟ้องกล่าวอ้างว่าจำเลยที่ ๓ ออกโฉนดที่ดินรุกล้ำโดยไม่ชอบ ด้วยกฎหมาย อันเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองออกคำสั่งทางปกครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายก็ตาม แต่การพิจารณาว่าการออกโฉนดที่ดินชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ตามที่กล่าวอ้างหรือไม่เป็นสำคัญ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินหรือสิทธิในทรัพย์สินของบุคคล อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองนครราชสีมาพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้เมื่อพิจารณามูลเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้จากคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องเป็นหลัก เห็นว่าคดีนี้โจทก์ได้ยื่นคำคัดค้านการออกโฉนดที่ดินโดยอ้างว่าเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา สาขาคง ออกโฉนดที่ดินให้แก่นางเขียวรุกล้ำที่ดินของโจทก์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ รับโอนที่ดินมาจึงไม่มีสิทธิในที่ดิน เป็นการกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ ๓ มีฐานะเป็นกรมเป็นหน่วยงานทางปกครอง มีอำนาจหน้าที่ในการออกโฉนดที่ดิน โดยเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา สาขาคง สังกัดจำเลยที่ ๓ ได้ออกโฉนดที่ดินตามที่นางเขียว นำรังวัดรุกล้ำที่ดินของโจทก์ จึงเป็นการกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งศาลปกครองมีอำนาจกำหนดคำบังคับโดยเพิกถอนโฉนดที่ดินดังกล่าวตามคำขอของโจทก์ได้ ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน และคดีมีประเด็นที่ศาลต้องวินิจฉัยว่าการดำเนินการออกโฉนดที่ดินของจำเลยที่ ๓ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่เท่านั้น แม้คดีมีประเด็นต้องพิจารณาว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของโจทก์หรือไม่ ซึ่งเป็นประเด็นเกี่ยวพันกันที่ศาลจำต้องวินิจฉัยก่อน จึงจะวินิจฉัยประเด็นหลักแห่งคดีได้ก็ตาม แต่ศาลปกครองมีอำนาจวินิจฉัยประเด็นเกี่ยวพันดังกล่าวได้ และแม้การวินิจฉัยประเด็นเกี่ยวพันดังกล่าวจะต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือประมวลกฎหมายที่ดินก็ตาม แต่การพิจารณาในปัญหาดังกล่าว ก็มิใช่เกณฑ์การพิจารณาว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลใด อีกทั้งไม่มีบทบัญญัติใดห้ามศาลปกครอง มิให้นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือประมวลกฎหมายที่ดินมาวินิจฉัยประเด็นที่เกี่ยวพันก่อนแล้วจึงจะวินิจฉัยประเด็นหลักแห่งคดีได้เช่นเดียวกัน

คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ซึ่งเป็นเอกชนด้วยกันและจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองว่า โจทก์เป็นเจ้าของครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดิน ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓) เลขที่ ๓๕๓ โดยได้รับโอนจากนางเขียว มารดา ต่อมานางเขียวไปติดต่อสำนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา สาขาคง สังกัดจำเลยที่ ๓ เพื่อขอออกโฉนดที่ดินตามหลักฐาน น.ส. ๓ เลขที่ ๑๕๓ และนำเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดรุกล้ำเข้ามาในที่ดินโจทก์เนื้อที่ประมาณ ๘ ไร่ ๑ งาน ๘๗ ตารางวา ทั้งที่ที่ดินตาม น.ส. ๓ เลขที่ ๑๕๓ ได้ขายและส่งมอบการครอบครองแก่บุคคลภายนอกแล้ว โดยสำนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา สาขาคงได้ออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๓๕๕๗ ให้แก่นางเขียว หลังจากนั้นนางเขียวโอนที่ดินให้แก่จำเลยที่ ๑ และ ที่ ๒ การออกโฉนดที่ดินให้แก่นางเขียวไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จึงมิใช่เจ้าของที่แท้จริงไม่มีสิทธิในที่ดิน ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งเพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๓๕๕๗ ที่ได้ออกทับที่ดินของโจทก์ ส่วนจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การว่า จำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โฉนดที่ดินเลขที่ ๓๓๕๕๗ โจทก์ไม่ใช่เจ้าของที่ดินพิพาท การออกโฉนดที่ดินของสำนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมาชอบด้วยกฎหมายแล้ว และจำเลยที่ ๓ ให้การว่า การออกโฉนดที่ดินพิพาทเป็นการปฏิบัติตามกฎหมายทุกประการ จำเลยที่ ๓ จึงไม่ต้องรับผิด เห็นว่า เหตุแห่งการฟ้องคดีสืบเนื่องมาจากการออกโฉนดทับที่ดินตาม น.ส. ๓ เลขที่ ๓๕๓ ของโจทก์ อันเป็นกรณีโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน ทั้งความมุ่งหมายของโจทก์ที่ฟ้องต่อศาลก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของโจทก์ การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้นั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ตามที่กล่าวอ้างหรือไม่เป็นสำคัญแล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นได้ต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนางสมหวัง แข็งการ โจทก์ นางมานิตย์ แก้วระหัน ที่ ๑ นางทองดำ แม่นมั่น ที่ ๒ กรมที่ดิน ที่ ๓ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

(ลงชื่อ) นายดิเรก อิงคนินันท์ (ลงชื่อ) นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายดิเรก อิงคนินันท์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม

(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง

(ลงชื่อ) พลเรือโท กฤษฎา เจริญพานิช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(กฤษฎา เจริญพานิช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร

(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ

Share