คำวินิจฉัยที่ 27/2559

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามคำฟ้องเป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้จำเลยที่ 4 ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 3 เปลี่ยนแปลงข้อมูลทางทะเบียนของโจทก์และเรียกค่าเสียหายจากการที่จำเลยที่ 4 กระทำละเมิดต่อโจทก์ แต่เมื่อมูลเหตุที่โจทก์อ้างเป็นประเด็นเกี่ยวเนื่องกับปัญหาว่าโจทก์เป็นมารดาโดยชอบด้วยกฎหมายของเด็กทั้งสามหรือไม่ แม้โจทก์จะอ้างว่ามิได้เป็นภริยาของจำเลยที่ 4 และเด็กทั้งสามไม่ใช่บุตรของโจทก์ แต่เมื่อข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามแบบรับรองรายการทะเบียนคนเกิดของเด็กทั้งสามเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 3 ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องระบุว่าโจทก์เป็นมารดาและจำเลยที่ 4 เป็นบิดาของเด็กทั้งสาม ผลของคดีย่อมกระทบต่อสถานะการเป็นบิดามารดากับบุตรรวมถึงสิทธิและหน้าที่ของบิดามารดาและบุตรซึ่งต้องบังคับตามกฎหมายที่เกี่ยวกับครอบครัว คดีนี้จึงเป็นคดีครอบครัวซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลเยาวชนและครอบครัว ตาม พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 10 (3)
สำหรับคำฟ้องของโจทก์ที่ขอให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 แก้ไขเปลี่ยนข้อมูลทางทะเบียนของโจทก์โดยลบชื่อหรือเพิกถอนชื่อโจทก์ออกจากสถานะมารดาของเด็กทั้งสามนั้น แม้จะมิได้มีนิติสัมพันธ์ในทางครอบครัว แต่การที่จะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า โจทก์ไม่เคยอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยที่ 4 และโจทก์ไม่ได้เป็นมารดาของเด็กทั้งสาม อันถือได้ว่ามูลความแห่งคดีเกี่ยวข้องกันตาม ป.วิ.พ. มาตรา 5 ทำให้โจทก์มีสิทธิเสนอคำฟ้องในส่วนนี้ต่อศาลเยาวชนและครอบครัวด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์อยู่กินฉันสามีภริยากับนาย พ. ตั้งแต่ปี 2527 จนกระทั่งวันที่ 17 เมษายน 2540 จึงได้จดทะเบียนสมรสกัน ประมาณปี 2535 โจทก์รู้จักกับจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานให้บริการขนส่งรถยนต์โดยสารประจำทางสาย 80 จำเลยที่ 4 เคยขอบัตรประจำตัวประชาชนของโจทก์แล้วนำมาคืนในวันเดียวกัน หลังจากนั้นโจทก์ไม่ได้พบจำเลยที่ 4 อีก ต่อมาวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2556 นาง ค. ไม่ทราบชื่อสกุล ภริยาชาวลาวของจำเลยที่ 4 มาขอให้โจทก์ไปแสดงตนต่อเจ้าพนักงานเขตบางแคเพื่อแสดงฐานะความเป็นมารดาระหว่างโจทก์กับเด็กชาย ป. ในการทำบัตรประจำตัวประชาชนเด็กชาย ป. โจทก์จึงทราบว่าจำเลยที่ 4 ปลอมแปลงสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของโจทก์แล้วนำไปแสดงต่อเจ้าพนักงานของจำเลยที่ 3 ผู้รับจดทะเบียนการเกิดว่าโจทก์เป็นมารดาเด็กชาย ป. ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะโจทก์ไม่เคยอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยที่ 4 และโจทก์ตรวจสอบรายการทะเบียนคนเกิดของบุตรจำเลยที่ 4 อีก 2 คน คือเด็กหญิง ช. และเด็กชาย ส. ก็พบว่ามีการแจ้งข้อมูลต่อนายทะเบียนของจำเลยที่ 2 ว่า โจทก์เป็นมารดาของบุตรจำเลยที่ 4 ทั้งสองคน ซึ่งไม่เป็นความจริงเพราะโจทก์ไม่เคยรู้จักและไม่ได้เป็นมารดาของเด็กทั้งสาม การกระทำของจำเลยที่ 4 ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลทางทะเบียนของโจทก์ โดยลบหรือเพิกถอนชื่อโจทก์ออกจากสถานะมารดาของเด็กทั้งสาม และให้จำเลยที่ 4 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ให้การทำนองเดียวกันว่า การที่เจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของจำเลยที่ 1 บันทึกข้อมูลในทะเบียนว่า โจทก์มีฐานะเป็นมารดาของเด็กทั้งสามเป็นการปฏิบัติหน้าที่ไปตามที่กฎหมายกำหนดขั้นตอนไว้ ตามมาตรา 23 แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ.2534 เมื่อจำเลยที่ 4 ในฐานะบิดามาแจ้งการเกิดของเด็กทั้งสามต่อนายทะเบียนของจำเลยที่ 2 และที่ 3 โดยนำสำเนาบัตรประชาชนของจำเลยที่ 4 และของโจทก์มาแสดงโดยอ้างว่าโจทก์เป็นมารดาของเด็กทั้งสาม ซึ่งเป็นไปตามระเบียบสำนักทะเบียนกลาง ว่าด้วยการจัดทำทะเบียนราษฎร พ.ศ.2535 จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงรับจดทะเบียนและออกสูติบัตรเป็นหลักฐานให้แก่ผู้แจ้ง จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 มิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายว่า จำเลยที่ 2 ไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคล โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ศาลจังหวัดตลิ่งชันพิพากษายกฟ้องโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 2 จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 ออกจากสารบบความ
จำเลยที่ 1 และที่ 3 ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่าคดีนี้เป็นคดีปกครอง อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลเห็นว่า คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ ศาลจังหวัดตลิ่งชันเห็นว่า กรณีมีปัญหาว่าคดีนี้จะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลเยาวชนและครอบครัวหรือไม่ จึงส่งสำนวนให้ประธานศาลฎีกาวินิจฉัย ตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 11
วินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลทางทะเบียนของโจทก์โดยลบชื่อหรือเพิกถอนชื่อโจทก์ออกจากสถานะมารดาของเด็กทั้งสามซึ่งเป็นบุตรของจำเลยที่ 4 และให้จำเลยที่ 4 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ โดยอ้างว่าโจทก์ไม่เคยอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยที่ 4 และไม่ได้เป็นมารดาของเด็กทั้งสาม แต่จำเลยที่ 4 ปลอมแปลงสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของโจทก์แล้วนำไปแสดงต่อเจ้าพนักงานของจำเลยที่ 3 ที่รับจดทะเบียนการเกิดของเด็กทั้งสามว่าโจทก์เป็นมารดาซึ่งไม่เป็นความจริง ส่วนจำเลยที่ 1 และที่ 3 ให้การว่า การกระทำของเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 3 เป็นไปตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดไว้ มิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ดังนี้ ตามคำฟ้องเป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้จำเลยที่ 4 ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 3 เปลี่ยนแปลงข้อมูลทางทะเบียนของโจทก์และเรียกค่าเสียหายจากการที่จำเลยที่ 4 กระทำละเมิดต่อโจทก์ แต่เมื่อมูลเหตุที่โจทก์อ้างเป็นประเด็นเกี่ยวเนื่องกับปัญหาว่าโจทก์เป็นมารดาโดยชอบด้วยกฎหมายของเด็กทั้งสามหรือไม่ แม้โจทก์จะอ้างว่ามิได้เป็นภริยาของจำเลยที่ 4 และเด็กทั้งสามไม่ใช่บุตรของโจทก์ แต่เมื่อข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามแบบรับรองรายการทะเบียนคนเกิดของเด็กทั้งสาม ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องระบุว่าโจทก์เป็นมารดาและจำเลยที่ 4 เป็นบิดาของเด็กทั้งสาม ผลของคดีย่อมกระทบต่อสถานะ การเป็นบิดามารดากับบุตรรวมถึงสิทธิและหน้าที่ของบิดามารดาและบุตรซึ่งต้องบังคับตามกฎหมายที่เกี่ยวกับครอบครัว คดีนี้จึงเป็นคดีครอบครัวซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลเยาวชนและครอบครัว ตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 10 (3)
สำหรับคำฟ้องของโจทก์ที่ขอให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 แก้ไขเปลี่ยนข้อมูลทางทะเบียนของโจทก์โดยลบชื่อหรือเพิกถอนชื่อโจทก์ออกจากสถานะมารดาของเด็กทั้งสาม แม้จำเลยที่ 1 และที่ 3 มิได้มีนิติสัมพันธ์ในทางครอบครัวกับโจทก์ แต่การที่จะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า โจทก์ไม่เคยอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยที่ 4 และโจทก์ไม่ได้เป็นมารดาของเด็กทั้งสาม อันถือได้ว่ามูลความแห่งคดีเกี่ยวข้องกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 5 โจทก์ย่อมมีสิทธิเสนอคำฟ้องในส่วนนี้ต่อศาลเยาวชนและครอบครัวได้
วินิจฉัยว่า คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลเยาวชนและครอบครัว
วินิจฉัย ณ วันที่ 4 เดือน พฤษภาคม พุทธศักราช 2559

วีระพล ตั้งสุวรรณ
(นายวีระพล ตั้งสุวรรณ)
ประธานศาลฎีกา

Share