แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ
ย่อสั้น
คดีที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยซึ่งเป็นโรงเรียนของรัฐให้ชดใช้ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างโจทก์เป็นครูสอนภาษาอังกฤษ โดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าและบอกเลิกจ้างโดยโจทก์ไม่มีความผิด เห็นว่าพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในเรื่องดังต่อไปนี้ (๔) คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง และมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน บัญญัติว่า สัญญาทางปกครอง หมายความรวมถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งกระทำการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือ แสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ คดีนี้จำเลยเป็นสถานศึกษาที่จัดการศึกษาขั้นพื้นฐานจึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง การที่จำเลยตกลงทำสัญญาว่าจ้างโจทก์เข้าทำงานตำแหน่งครูสอนภาษาอังกฤษ สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาที่มีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองและมีวัตถุแห่งสัญญาเป็นการให้โจทก์เข้าร่วมจัดทำบริการสาธารณะด้านการศึกษาขั้นพื้นฐานตามอำนาจหน้าที่ของจำเลย สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาทางปกครอง ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ย่อยาว
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๒๕/๒๕๕๙
วันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๙
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลแรงงานกลาง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแรงงานกลางโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดีและศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๕๗ นางสาวชาริโต โมราดา ชาบาติก โจทก์ ยื่นฟ้องโรงเรียนนวมิน ทราชินูทิศ สตรีวิทยา พุทธมณฑล จำเลย ต่อศาลแรงงานกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๓๑๒/๒๕๕๗ ความว่า เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ จำเลยทำสัญญาจ้างโจทก์เข้าทำงาน ตำแหน่งครูสอนภาษาอังกฤษ โดยทำสัญญาจ้างเป็นหนังสือมีกำหนดระยะเวลาจ้างปีต่อปี ได้รับอัตราค่าจ้างครั้งสุดท้ายเดือนละ ๓๒,๙๖๐ บาท โดยได้รับค่าจ้างจากรายได้ของสมาคมผู้ปกครองและครู โจทก์ทำงานตามสัญญาจ้างและตามคำสั่งของจำเลย โดยถูกต้องและสุจริตไม่เคยกระทำความผิดใด ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๗ จำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์โดยให้มีผลเป็นการเลิกจ้างวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๗ อ้างสาเหตุว่าโจทก์ไม่ช่วยเหลือค่ายภาษาอังกฤษของจำเลยซึ่งไม่เป็นความจริง เนื่องจากโจทก์ต้องดูแลปู่ของโจทก์ที่กำลังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลที่ประเทศฟิลิปปินส์ การเลิกสัญญาจ้างโจทก์เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากเลิกจ้างโจทก์โดยไม่มีความผิด จึงเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมและการบอกกล่าวล่วงหน้าไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งตามกฎหมายต้องให้มีผลเป็นการเลิกจ้างเมื่อถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างในคราวถัดไป คือวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๗ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมเป็นเงิน ๑๓๑,๘๔๐ บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้ารวม ๓๒,๙๖๐ บาท และค่าชดเชยเป็นเงิน ๑๙๗,๗๖๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยผู้อำนวยการโรงเรียนได้ทำสัญญาจ้างโจทก์เข้าทำงานในตำแหน่งครูอัตราจ้างสอนภาษาอังกฤษ ต่อมา ระหว่างวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๗ ถึงวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๗ จำเลยจัดกิจกรรมค่ายภาษาอังกฤษ จำเลยมอบหมายให้ครูต่างชาติทุกคนทำหน้าที่วิทยากรค่าย และระหว่างวันที่ ๕ ถึง ๘ พฤษภาคม ๒๕๕๗ จำเลยมอบหมายให้ครูต่างชาติทุกคนปฏิบัติหน้าที่ในการสอนปรับพื้นฐาน ณ โรงเรียนของจำเลย โจทก์ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่วิทยากรพี่เลี้ยงประจำกลุ่ม โจทก์ได้ทราบถึงภาระหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเป็นอย่างดี แต่โจทก์ไม่มาปฏิบัติหน้าที่วิทยากรค่ายภาษาอังกฤษโดยไม่แจ้งเหตุผลแต่อย่างใด จำเลยต้องใช้งบประมาณพิเศษเพิ่มเติมจัดหาครูต่างชาติเพื่อทำหน้าที่แทนโจทก์ การกระทำของโจทก์เป็นการผิดสัญญา ข้อ ๕ ทั้งโจทก์ไม่ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการลา พ.ศ. ๒๕๓๕ เมื่อโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาจ้าง จำเลยจึงบอกเลิกสัญญาจ้างตามข้อ ๙ โดยไม่ต้องแจ้งล่วงหน้า โจทก์ได้รับหนังสือเลิกจ้างโดยชอบแล้ว และจำเลยยังได้จ่ายค่าจ้างของเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๗ จำนวน ๓๒,๙๖๐ บาท ด้วยการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงเป็นการเลิกจ้างที่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมแล้ว จำเลยจึงไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหาย จำเลยไม่อยู่ภายใต้บังคับพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ หรือกฎหมายแรงงานใดๆ จึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้แม้จำเลยมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง แต่การที่โจทก์ได้ทำสัญญาจ้างแรงงานระบุข้อความว่าเป็นสัญญาจ้างแรงงาน โดยให้โจทก์ทำการสอนตามที่จำเลยมอบหมายในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ถึง ๖ รวม ๒๒ คาบ ต่อสัปดาห์ในวิชาภาษาอังกฤษ ได้รับเงินเดือนๆ ละ ๓๒,๙๖๐ บาท กำหนดระยะเวลาจ้างตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ จนถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ และในการต่อสัญญาเป็นไปตามอัตโนมัติหากไม่มีการบอกเลิกการจ้าง ๓๐ วัน ก่อนวันสิ้นสุดสัญญา ซึ่งลักษณะของสัญญาเป็นสัญญาจ้างแรงงานตามปกติ ไม่อยู่ภายใต้บังคับของระเบียบวินัย ของข้าราชการหรือพนักงานของรัฐ ทั้งโจทก์ไม่มีสถานะเป็นข้าราชการ ลูกจ้างประจำ หรือลูกจ้างชั่วคราว หรือพนักงานของรัฐอื่นอันจะถือว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ และสัญญาดังกล่าวไม่มีข้อสัญญาที่แสดงลักษณะพิเศษ หรือการใช้อำนาจของรัฐแต่อย่างใด ทั้งในการจัดจ้างโจทก์ตามสัญญาจ้างแรงงานดังกล่าว จำเลยไม่ได้ของบประมาณแผ่นดิน แต่ได้รับเงินสนับสนุนจากสมาคมผู้ปกครองของจำเลยที่ต้องการให้นักศึกษาฝึกใช้ภาษาอังกฤษจากอาจารย์ผู้ที่ใช้ภาษาอังกฤษนั้น เท่ากับไม่ได้มีการขออัตราครูผู้สอนจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มิได้มีการเปิดสอบโดยได้รับอนุมัติจากหน่วยงานที่กำกับดังกล่าว ในการประเมินผลงานของโจทก์ในการสอนนั้น ก็ไม่อยู่ภายใต้ระเบียบของทางราชการ โดยให้มีการต่อสัญญาหลังจากเมื่อครบกำหนดแล้วหากไม่มีการบอกเลิกสัญญาจ้าง ๓๐ วัน ก่อนวันสิ้นสุดสัญญาจ้างแรงงาน ซึ่งตามปกติจำเลยเป็นโรงเรียนของรัฐก็ย่อมต้องมีครูสอนภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นครูตามอัตรากำลังที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนดไว้แล้ว หากจำเลยเลิกสัญญากับโจทก์ก็สามารถจัดหาครูคนใหม่มาทดแทนได้ กรณีดังกล่าวจะเห็นได้ว่า การที่จำเลยจ้างโจทก์นั้นเป็นส่วนเสริมเพิ่มเติมขึ้นจากการสอนของครูในโรงเรียนของจำเลยซึ่งเป็นส่วนราชการอยู่ตามปกติแล้ว แม้จำเลยไม่จ้างโจทก์ทำหน้าที่ครูสอนภาษาอังกฤษก็ไม่กระทบต่อบริการสาธารณะของจำเลยที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น สัญญาดังกล่าวจึงไม่ใช่สัญญาสัมปทานหรือสัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ จึงไม่เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๓ และมิใช่คดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แต่เป็นสัญญาจ้างแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ วรรคหนึ่ง (๑) จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้จำเลยเป็นสถานศึกษาที่จัดการศึกษาขั้นพื้นฐานและมีฐานะเป็นนิติบุคคล ตามมาตรา ๓๕ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๔๖ จำเลยจึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในการจัดทำบริการสาธารณะด้านการศึกษาขั้นพื้นฐาน ตกลงทำสัญญากับโจทก์ซึ่งเป็นชาวต่างประเทศให้เข้าทำงานในตำแหน่งครูผู้สอนภาษาอังกฤษ โดยกำหนดหน้าที่ให้โจทก์ปฏิบัติ ดังนี้ (๑) ปฏิบัติหน้าที่ครูสอนตามตารางสอนที่จำเลยมอบหมายในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ถึงที่ ๖ รวม ๒๒ คาบต่อสัปดาห์ (๒) สอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร การออกเสียงทักษะการฟัง พูด และวิชาภาษาอังกฤษทุกรายวิชาตามที่จำเลยจัดให้ (๓) จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้และดำเนินการจัดประเมินผลในรายวิชาที่สอน และ (๔) ปฏิบัติหน้าที่อื่นของครูตามที่ได้รับมอบหมายจากทางจำเลย จึงเป็นกรณีที่จำเลยซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองได้ทำสัญญาที่มีวัตถุแห่งสัญญาเป็นการให้โจทก์เข้าร่วมจัดทำบริการสาธารณะด้านการศึกษาขั้นพื้นฐานตามอำนาจหน้าที่ของจำเลย คือการเป็นครูสอน อันเป็นหน้าที่เช่นเดียวกับครูหรือบุคลากรด้านการศึกษาอื่นๆ โดยสิทธิและหน้าที่ของโจทก์เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในสัญญาจ้างตามแบบสัญญาจ้างและอัตราค่าจ้างที่กระทรวงการคลังและกรมบัญชีกลางกำหนด ตามหนังสือกระทรวงการคลัง ที่ กค ๐๔๑๕/ว.๔๑ ลงวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๔๖ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติการจ้างลูกจ้างชาวต่างประเทศที่มีสัญญาจ้าง และหนังสือกรมบัญชีกลาง ที่ กค ๐๔๑๕/๓๓๑๑ ลงวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖ เรื่อง การใช้เงินนอกงบประมาณในการจ้างครูชาวต่างประเทศ ดังนั้น สัญญาจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ส่วนการจ้างโจทก์โดยใช้เงินบริจาคจากสมาคมผู้ปกครองและครูของจำเลยนั้น เมื่อสัญญาจ้างโจทก์มีวัตถุประสงค์แห่งสัญญาเป็นเรื่องการให้โจทก์เข้าร่วมจัดทำบริการสาธารณะด้านการศึกษาขั้นพื้นฐานและหน้าที่ที่โจทก์ต้องดำเนินการตามสัญญาก็คือการเป็นครูสอนนักเรียนในสถานศึกษาเช่นเดียวกันกับครูหรือบุคลากรทางการศึกษาอื่นๆ ทุกคน การจ่ายเงินค่าจ้างสอน โดยใช้เงินส่วนใดจึงไม่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงวัตถุแห่งสัญญาและหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งมีลักษณะเป็นการจัดทำบริการสาธารณะด้านการศึกษาขั้นพื้นฐานให้แปลกแยกแตกต่างออกไปจากครูหรือบุคลากรทางการศึกษาอื่นๆ นอกจากนั้น แม้จำเลยจะใช้จ่ายเงินที่ไม่ใช่เงินงบประมาณโดยตรง แต่การใช้จ่ายเงินดังกล่าวก็มีระเบียบสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานว่าด้วยการบริหารจัดการเกี่ยวกับเงินรายได้สถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่เป็นนิติบุคคลในสังกัดเขตพื้นที่การศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๙ ประกอบกับประกาศสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ว่าด้วยหลักเกณฑ์ อัตรา และวิธีการนำเงินรายได้สถานศึกษาไปจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการศึกษา ของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่เป็นนิติบุคคลในสังกัดเขตพื้นที่การศึกษา ลงวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ วางหลักเกณฑ์ในการใช้จ่ายเงินรายได้สถานศึกษาซึ่งรวมถึงเงินบริจาคที่สถานศึกษารับไว้เป็นการเฉพาะโดยเป็นกฎเกณฑ์ที่มีขึ้นเพื่อช่วยควบคุมกำกับการใช้จ่ายเงินของสถานศึกษา และในขณะเดียวกันก็เพื่อส่งเสริมให้มีการนำเงิน ทรัพย์สิน หรือทรัพยากรอื่นจากส่วนต่างๆ มาสนันสนุนการจัดการศึกษาได้มากยิ่งขึ้น ดังนั้น การจ่ายเงินค่าจ้างสอนโดยใช้เงินส่วนใด จึงไม่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงวัตถุแห่งสัญญาและหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งมีลักษณะเป็นการจัดทำบริการสาธารณะด้านการศึกษาขั้นพื้นฐานให้แปลกแยกแตกต่างออกไปจากครูหรือบุคลากรทางการศึกษาอื่นๆ แต่อย่างใด คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างโจทก์เป็นครูสอนภาษาอังกฤษ โดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าและบอกเลิกจ้างโดยโจทก์ไม่มีความผิดส่วนจำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มาปฏิบัติหน้าที่โดยไม่แจ้งเหตุขัดข้อง จำเลยต้องจัดหาครูต่างชาติเพื่อทำหน้าที่แทนโจทก์ การกระทำของโจทก์เป็นการผิดสัญญาและไม่ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการลา พ.ศ. ๒๕๓๕ จำเลยบอกเลิกจ้างโดยชอบ และยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง กรณีมีปัญหาต้องพิจารณาว่า สัญญาจ้างดังกล่าวเป็นสัญญาทางแพ่งหรือสัญญาทางปกครอง เห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในเรื่องดังต่อไปนี้ (๔) คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง และมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน บัญญัติว่า สัญญาทางปกครอง หมายความรวมถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งกระทำการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ คดีนี้จำเลยเป็นสถานศึกษาที่จัดการศึกษาขั้นพื้นฐานและมีฐานะเป็นนิติบุคคลตามมาตรา ๓๔ (๒) ประกอบมาตรา ๓๕ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๔๖ และมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในการจัดทำบริการสาธารณะด้านการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำเลยจึงเป็นหน่วยงานทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อจำเลยมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในการจัดทำบริการสาธารณะด้านการศึกษาขั้นพื้นฐานการที่จำเลยตกลงทำสัญญาว่าจ้างโจทก์เข้าทำงาน ตำแหน่งครูสอนภาษาอังกฤษ โดยกำหนดหน้าที่ให้โจทก์ปฏิบัติ ดังนี้ (๑) ปฏิบัติหน้าที่ครูสอนตามตารางสอนที่จำเลยมอบหมายในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ถึงที่ ๖ รวม ๒๒ คาบต่อสัปดาห์ (๒) สอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร การออกเสียงทักษะการฟัง พูด และวิชาภาษาอังกฤษทุกรายวิชาตามที่จำเลยจัดให้ (๓) ให้จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้และดำเนินการจัดประเมินผลในรายวิชาที่สอน และ (๔) ปฏิบัติหน้าที่อื่นของครูตามที่ได้รับมอบหมายจากทางจำเลย สัญญาดังกล่าว จึงเป็นสัญญาที่มีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองและมีวัตถุแห่งสัญญาเป็นการให้โจทก์เข้าร่วมจัดทำบริการสาธารณะด้านการศึกษาขั้นพื้นฐานตามอำนาจหน้าที่ของจำเลย สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่ง พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง นางสาวชาริโต โมราดา ชาบาติก โจทก์ โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา พุทธมณฑล จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) วีระพล ตั้งสุวรรณ (ลงชื่อ) จิรนิติ หะวานนท์
(นายวีระพล ตั้งสุวรรณ) (นายจิรนิติ หะวานนท์)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ปิยะ ปะตังทา (ลงชื่อ) ชาญชัย แสวงศักดิ์
(นายปิยะ ปะตังทา) (นายชาญชัย แสวงศักดิ์)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลเรือโท ปรีชาญ จามเจริญ (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(ปรีชาญ จามเจริญ) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ