คำวินิจฉัยที่ 19/2548

แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ

ย่อสั้น

ไม่มีย่อสั้น

ย่อยาว

(สำเนา)

คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๙/๒๕๔๘

วันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๔๘

เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน

ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลจังหวัดเพชรบุรี

การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งเขตอำนาจของศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและรับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น

ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๔๗ นายสุทิน ศิวิลัย ที่ ๑ นางสาวนันทนา อุดมคมวิรัตน์ ที่ ๒ ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้องอธิบดีกรมที่ดิน ที่ ๑ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๕๓๕/๒๕๔๗ ความว่า ผู้ฟ้องคดีทั้งสองเป็นผู้ถือสิทธิครอบครองที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๒๑๘๔ ตำบลห้วยทรายเหนือ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี โดยได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินต่อเนื่องมาจากผู้ซึ่งมีหลักฐานการแจ้งการครอบครองมาโดยตลอด แต่เมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๖ กรมที่ดินได้มีหนังสือแจ้งว่า กรมที่ดินได้มีคำสั่งที่ ๒๔๘๐/๒๕๔๖ ลงวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๖ ให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๒๑๘๔ ตำบลห้วยทรายเหนือ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี เนื่องจาก น.ส. ๓ ก. ดังกล่าวได้ออกโดยวิธีการเดินสำรวจโดยใช้ระวางรูปถ่ายทางอากาศ ปี พ.ศ. ๒๕๒๐ และไม่มีหลักฐานสำหรับที่ดินมาแสดงในขณะขอออก น.ส. ๓ ก. ทั้งอยู่ในเขตป่าไม้ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๑๔ ซึ่งผู้ฟ้องคดีทั้งสองได้อุทธรณ์คำสั่งต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ไม่เห็นด้วยกับคำอุทธรณ์ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ มีคำสั่งให้ยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีทั้งสอง ผู้ฟ้องคดีทั้งสองเห็นว่า คำสั่งเพิกถอน น.ส. ๓ ก. และคำสั่งให้ยกอุทธรณ์ดังกล่าว เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและข้อเท็จจริงจึงฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลางขอให้กำหนดคำบังคับให้เพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ที่ ๒๔๘๐/๒๕๔๖ ลงวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๖ ที่สั่งเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ของผู้ฟ้องคดี ให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองได้มีสิทธิครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินตามหนังสือ น.ส. ๓ ก. ดังกล่าวต่อไป ให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ที่ยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีทั้งสอง ทั้งนี้ ต่อมา ผู้ฟ้องคดียื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำบังคับในกรณีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดจากการกระทำดังกล่าวของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองด้วย
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองให้การว่า ที่ดิน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๒๑๘๔ ของผู้ฟ้องคดีทั้งสองได้ออกในเขตป่าไม้ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๑๔ เต็มทั้งแปลงตั้งแต่แรกจนถึงปัจจุบัน และไม่มีหลักฐานให้ทราบว่าที่ดินพิพาทมีหลักฐานที่ดินเดิมมาก่อนประกาศเขตป่าไม้ถาวร จึงเป็นการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย มาตรา ๕๘ และมาตรา ๕๘ ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดินและกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๔๙๗) ประกอบกับกฎกระทรวง ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๔๙๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ (ซึ่งบังคับใช้อยู่ในขณะนั้น) ดังนั้น คำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ที่ให้เพิกถอน น.ส. ๓ ก. ของผู้ฟ้องคดีทั้งสอง และคำสั่งยกอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ จึงเป็นการปฏิบัติราชการตามกฎหมายที่กระทำโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ต่อมา ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองได้ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลโดยเห็นว่า คดีนี้มิได้อยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง แต่อยู่ในเขตอำนาจของศาลยุติธรรม เนื่องจากคดีนี้มีประเด็นพิพาทที่จะต้องพิจารณาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินระหว่างผู้ฟ้องคดีทั้งสองและผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองตามแนวคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ ๑๘/๒๕๔๗
ผู้ฟ้องคดีทั้งสองเห็นว่า คดีนี้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองที่เป็นการกำหนดสภาพทางกฎหมายซึ่งเกิดผลเฉพาะกรณีและมีผลต่อผู้ฟ้องคดีทั้งสองโดยตรง นอกจากนี้ยังเป็นการกระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายและเป็นคำสั่งทางปกครองที่เป็นการสร้างผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิและหน้าที่ของผู้ฟ้องคดีทั้งสองทำให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองไม่สามารถเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทและมีความประสงค์จะให้ศาลมีคำบังคับเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองด้วย คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลปกครองกลางเห็นว่า การออกคำสั่งเพิกถอน น.ส. ๓ ก. เป็นการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่ของรัฐตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๖๑ ที่เป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคลมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิบุคคล จึงเป็นการออกคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ และผู้ฟ้องคดีได้ใช้สิทธิในการอุทธรณ์คำสั่งทางปกครองดังกล่าวและนำคดีขึ้นสู่ศาลปกครอง ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ กับขอให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองได้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามเดิมนั้น คดีตามฟ้องจึงเป็นคดีปกครองที่เป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อำนาจตามกฎหมายและมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๒๗๖ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ สำหรับกรณีที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองมีคำขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งว่าผู้ฟ้องคดีทั้งสองได้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามเดิมนั้น ศาลปกครองกลางเห็นว่าประเด็นหลักแห่งคดีตามคำฟ้องคดีนี้ เป็นกรณีที่ศาลต้องพิพากษาหรือมีคำสั่งว่าการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ออกคำสั่งเพิกถอน น.ส. ๓ ก. ของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ วินิจฉัยยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีทั้งสอง เป็นการกระทำในการออกคำสั่งที่เกิดจากการใช้อำนาจโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และมีเหตุต้องเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวซึ่งเป็นคำสั่งทางปกครองหรือไม่ โดยศาลไม่จำต้องวินิจฉัยเรื่องสิทธิครอบครองในที่ดิน เพราะสถานภาพแห่งสิทธิของผู้ฟ้องคดีทั้งสองจะกลับคืนดังเดิมหรือไม่ เป็นเพียงผลที่ตามมาภายหลังมิใช่ประเด็นหลักแห่งคดีแต่อย่างใด คดีตามคำฟ้องนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองและสอดคล้องกับข้อยกเว้นตามมาตรา ๒๗๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่ว่าศาลยุติธรรมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีทั้งปวง เว้นแต่คดีที่รัฐธรรมนูญนี้หรือกฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอำนาจของศาลอื่นดังที่กล่าวข้างต้น อีกทั้งกรณีตามคำฟ้องนี้มิใช่กรณีเดียวกับคดีตามคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ ๑๘/๒๕๔๗ ดังที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองยกขึ้นกล่าวอ้าง
ศาลจังหวัดเพชรบุรีเห็นว่า คดีนี้มีปัญหาที่จำต้องพิจารณาเสียก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ซึ่งเป็นสิทธิครอบครองของผู้ฟ้องคดีทั้งสองหรือเป็นที่ป่าไม้ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๑๔ แล้วจึงจะมีคำสั่งเกี่ยวกับการเพิกถอน น.ส. ๓ ก. ต่อไป ดังนั้น เมื่อจำต้องพิจารณาถึงประเภทของที่ดินอันจะมีผลกระทบต่อสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทดังกล่าวแล้ว จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สินของบุคคลซึ่งต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๔ ทรัพย์สิน นอกจากนั้น การพิจารณาสิทธิในทรัพย์พิพาทคดีนี้ต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายที่ดินประกอบด้วย โดยจะต้องพิจารณาถึงสิทธิครอบครองการใช้ประโยชน์ในที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสองและพยานหลักฐานการได้มาซึ่งที่ดินพิพาทของผู้ฟ้องคดี ตลอดจนการใช้ประโยชน์ของประชาชนที่อยู่ใกล้เคียงกับผู้ฟ้องคดีทั้งสองในพื้นที่ตำบลห้วยทรายเหนือ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ มิได้กำหนดให้ศาลปกครองมีอำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีอันเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สินของบุคคล คดีจึงอยู่ในเขตอำนาจของศาลยุติธรรม

คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ ผู้ฟ้องคดีทั้งสองอ้างว่าเป็นผู้ถือสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๒๑๘๔ ตำบลห้วยทรายเหนือ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี โดยได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินมาตลอด แต่กรมที่ดินมีคำสั่งให้เพิกถอน น.ส. ๓ ก. ดังกล่าว เนื่องจากที่ดินพิพาทอยู่ในเขตป่าไม้ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๑๔ และการออก น.ส. ๓ ก. เป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งผู้ฟ้องคดีได้อุทธรณ์คำสั่งต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ไม่เห็นด้วยกับคำอุทธรณ์ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ มีคำสั่งให้ยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีทั้งสอง ผู้ฟ้องคดีทั้งสองเห็นว่าคำสั่งเพิกถอน น.ส. ๓ ก. และคำสั่งให้ยกอุทธรณ์ดังกล่าวเป็นคำสั่งไม่ชอบด้วยกฎหมายและข้อเท็จจริง เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีทั้งสอง จึงขอให้ศาลกำหนดคำบังคับให้เพิกถอนคำสั่งเพิกถอน น.ส. ๓ ก. ของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง ให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองได้มีสิทธิครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท ให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ที่ยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีทั้งสอง ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองให้การว่า ที่ดินพิพาทตาม น.ส. ๓ ก. ได้ออกในเขตป่าไม้ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๑๔ เต็มทั้งแปลงตั้งแต่แรกจนถึงปัจจุบัน และการออก น.ส. ๓ ก. ดังกล่าวเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย คำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ที่ให้เพิกถอน น.ส. ๓ ก. ของผู้ฟ้องคดีทั้งสอง และคำสั่งยกอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ จึงเป็นการปฏิบัติราชการตามกฎหมายที่กระทำโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมายแล้ว ดังนั้น แม้เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้สืบเนื่องมาจากผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองมีคำสั่งเพิกถอน น.ส. ๓ ก. ของผู้ฟ้องคดีทั้งสองก็ตาม แต่การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว หรือให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองได้มีสิทธิครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทต่อไป หรือเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ที่ยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีทั้งสองได้นั้น ศาลจำต้องพิจารณาในปัญหาว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดีทั้งสองตามที่กล่าวอ้างหรืออยู่ในเขตป่าไม้ถาวรเป็นสำคัญ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินระหว่างคู่กรณี อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง นายสุทิน ศิวิลัย ที่ ๑ นางสาวนันทนา อุดมคมวิรัตน์ ที่ ๒ ผู้ฟ้องคดี อธิบดีกรมที่ดิน ที่ ๑ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

(ลงชื่อ) ศุภชัย ภู่งาม (ลงชื่อ) เฉลิมชัย เกษมสันต์
(นายศุภชัย ภู่งาม) (หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม

(ลงชื่อ) อักขราทร จุฬารัตน (ลงชื่อ) อัครวิทย์ สุมาวงศ์
(นายอักขราทร จุฬารัตน) (นายอัครวิทย์ สุมาวงศ์)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง

(ลงชื่อ) พลโท วิรัตน์ บรรเลง (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(วิรัตน์ บรรเลง) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร

(ลงชื่อ) พรชัย รัศมีแพทย์
(นายพรชัย รัศมีแพทย์)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
??

??

??

??

Share