คำวินิจฉัยที่ 117/2559

แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ

ย่อสั้น

โจทก์ยื่นฟ้องหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐว่า เดิมโจทก์เป็นผู้มีชื่อเป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ น.ส.๓ ก. จำเลยที่ ๑ มีคำสั่งจังหวัดภูเก็ตที่ ๒๒๘/๒๕๒๓ ให้เพิกถอน น.ส.๓ ก. โดยอ้างว่าเป็นการออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะเป็นการออกทับที่ดินของบุคคลอื่น ขอให้เพิกถอนคำสั่งและให้ส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาทคืนแก่โจทก์ ส่วนจำเลยที่ ๒ ให้การว่า ที่ดินพิพาทไม่สามารถออก น.ส.๓ ก. ได้ ตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา ๕๘ ทวิ (๑) โจทก์ไม่เคยครอบครองที่ดินพิพาท การดำเนินการเพิกถอนชอบด้วยประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา ๖๑ แล้ว และมีผลให้ที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้นั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า โจทก์ได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทมาก่อนออก น.ส.๓ ก. ทั้งสามฉบับหรือไม่เป็นสำคัญแล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นได้ต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

ย่อยาว

(สำเนา)

คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๑๗ /๒๕๕๙

วันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๙

เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน

ศาลจังหวัดภูเก็ต
ระหว่าง
ศาลปกครองนครศรีธรรมราช

การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดภูเก็ตโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น

ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ นายประวิตร แซ่ตัน หรือสินเสาวภาคย์ โจทก์ยื่นฟ้อง ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ที่ ๑ กรมที่ดิน ที่ ๒ จำเลย ต่อศาลจังหวัดภูเก็ต คดีหมายเลขดำที่ ๙๙/๒๕๕๗ ความว่า เดิมโจทก์เป็นผู้มีชื่อเป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ ก.) เลขที่ ๑๓๖๓, ๑๓๖๔ และ ๑๓๖๕ หมู่ที่ ๑ ตำบลเชิงทะเล อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต เมื่อวันที่๑๘ เมษายน ๒๕๒๓ จำเลยที่ ๑ มีคำสั่งจังหวัดภูเก็ตที่ ๒๒๘/๒๕๒๓ ให้เพิกถอน น.ส.๓ ก. ทั้งสามแปลง โดยอ้างว่าเป็นการออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะผู้ขอออกไม่ได้ครอบครองทำประโยชน์และที่ดินตาม น.ส.๓ ก. ทั้งสามแปลงไม่ใช่ที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครอง ส.ค.๑ เลขที่ ๑๔ ตำบลเชิงทะเล อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต แต่เป็นการออกทับที่ดินของบุคคลอื่น จำเลยที่ ๒ จึงเพิกถอน น.ส.๓ ก. ทั้งสามแปลง ซึ่งไม่เป็นความจริงเพราะเจ้าของที่ดินทั้งสามแปลงครอบครองทำประโยชน์ มาก่อน ทั้งเป็นที่ดินแปลงเดียวกับที่ดิน ส.ค.๑ เลขที่ ๑๔ และไม่ได้ออกทับที่ดินของบุคคลใดการกระทำของจำเลยทั้งสองไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้จำเลยทั้งสองเพิกถอนคำสั่งจังหวัดภูเก็ตที่ ๒๒๘/๒๕๒๓ และให้ส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ น.ส.๓ ก.ทั้งสามฉบับ คืนแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า ที่ดินพิพาทตั้งอยู่ที่หมู่ที่ ๑๔ แต่มีผู้นำ ส.ค.๑ เลขที่ ๑๔ ร่วมมือกับ เจ้าหน้าที่ของรัฐนำมาเป็นหลักฐานในการออก น.ส.๓ ก. ที่พิพาท ที่ดินพิพาทจึงไม่สามารถออก น.ส.๓ ก. ได้ ตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา ๕๘ ทวิ (๑) โจทก์ไม่เคยครอบครองที่ดินพิพาท การดำเนินการเพิกถอนการออก น.ส.๓ ก. ทั้งสามฉบับชอบด้วยประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๖๑ แล้ว และมีผลให้ที่ดินพิพาททั้งสามแปลงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งทางปกครองของจำเลยที่ ๑ โดยเห็นว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นคดีตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดภูเก็ตพิจารณาแล้วเห็นว่า การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้นั้นจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่ดินพิพาทนั้นโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามที่กล่าวอ้างหรือไม่เป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองสงขลาพิจารณาแล้วเห็นว่า การดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายของจำเลยทั้งสองที่มีคำสั่งจังหวัดภูเก็ตที่ ๒๒๘/๒๕๒๓ ให้เพิกถอน น.ส.๓ ก. และรายการจดทะเบียนที่ดินทั้งสามแปลง ซึ่งคำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งทางปกครอง ตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.๒๕๓๙ เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองไม่ชอบด้วยกฎหมายอันเป็นการกล่าวอ้างว่าคำสั่งทางปกครองไม่ชอบด้วยกฏหมายเนื่องจากไม่ถูกต้องตามขั้นตอนและวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำนั้นและไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวและเรียกให้จำเลยทั้งสองส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทั้งสามแปลงให้แก่โจทก์ กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายอันเกิดจากคำสั่งทางปกครองและการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีนี้จึงเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
อนึ่งโจทก์ได้เคยฟ้องจำเลยที่ ๑ นายอำเภอถลาง เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ตและเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอถลางต่อศาลปกครองนครศรีธรรมราชเป็นคดีหมายเลขดำที่ ๒๒๙/๒๕๕๓คดีหมายเลขแดงที่ ๒๖๗/๒๕๕๓ ในมูลคดีเดียวกันและขอให้เพิกถอนคำสั่งจังหวัดภูเก็ตที่ ๕๕๒/๒๕๒๒ และคำสั่งที่ ๒๒๘/๒๕๒๓ ศาลปกครองนครศรีธรรมราชพิจารณาแล้วเห็นว่า เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลปกครอง แต่เป็นการฟ้องเมื่อพ้นระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดจึงมีคำสั่ง ไม่รับฟ้องไว้พิจารณา ผู้ฟ้องคดี (โจทก์ในคดีนี้) ได้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อศาลปกครองสูงสุดเป็นคำร้องที่ ๙๖/๒๕๕๗ คำสั่งที่ ๔๙๒/๒๕๕๔ ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนตามคำสั่งศาลปกครองชั้นต้นคดีถึงที่สุดแล้ว

คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐว่า เดิมโจทก์เป็นผู้มีชื่อเป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ น.ส.๓ ก. เลขที่ ๑๓๖๓, ๑๓๖๔ และ ๑๓๖๕ จำเลยที่ ๑ มีคำสั่งจังหวัดภูเก็ตที่ ๒๒๘/๒๕๒๓ ให้เพิกถอน น.ส.๓ ก. ทั้งสามแปลง โดยอ้างว่าเป็นการออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะผู้ขอออกไม่ได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินทั้งสามแปลงก่อนออก น.ส.๓ ก. ทั้งสามฉบับ แต่เป็นการออกทับที่ดินของบุคคลอื่น ขอให้ เพิกถอนคำสั่งจังหวัดภูเก็ตที่ ๒๒๘/๒๕๒๓ และให้จำเลยทั้งสองส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาททั้งสามแปลงคืนแก่โจทก์ ส่วนจำเลยที่ ๒ ให้การว่า ที่ดินพิพาทตั้งอยู่ที่หมู่ที่ ๑๔ แต่มีผู้นำ ส.ค.๑ เลขที่ ๑๔ ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ของรัฐนำมาเป็นหลักฐานในการออก น.ส.๓ ก. ที่พิพาท ที่ดินพิพาทจึงไม่สามารถออก น.ส.๓ ก. ได้ ตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา ๕๘ ทวิ (๑) โจทก์ไม่เคยครอบครองที่ดินพิพาท การดำเนินการเพิกถอนการออก น.ส.๓ ก. ทั้งสามฉบับชอบด้วยประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา ๖๑ แล้ว และมีผลให้ที่ดินพิพาททั้งสามแปลงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้นั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความ เสียก่อนว่า โจทก์ได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทมาก่อนออก น.ส.๓ ก. ทั้งสามฉบับหรือไม่เป็นสำคัญแล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นได้ต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง นายประวิตร แซ่ตัน หรือสินเสาวภาคย์ โจทก์ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ที่ ๑ กรมที่ดิน ที่ ๒ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

(ลงชื่อ) วีระพล ตั้งสุวรรณ (ลงชื่อ) จิรนิติ หะวานนท์
(นายวีระพล ตั้งสุวรรณ) (นายจิรนิติ หะวานนท์)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม

(ลงชื่อ) ปิยะ ปะตังทา (ลงชื่อ) ชาญชัย แสวงศักดิ์
(นายปิยะ ปะตังทา) (นายชาญชัย แสวงศักดิ์)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง

(ลงชื่อ) พลเรือโท ปรีชาญ จามเจริญ (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(ปรีชาญ จามเจริญ) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร

(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ

Share