แหล่งที่มา : สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ
ย่อสั้น
คดีที่ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้ององค์การบริหารส่วนตำบลภูเงิน ที่ ๑ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง อธิบดีกรมที่ดิน ที่ ๒ และเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดร้อยเอ็ด สาขาเสลภูมิ ที่ ๓ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ว่า ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ที่ ๓ ถึงที่ ๑๐ เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครองครองและทำประโยชน์ในที่ดินบริเวณที่ถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่สาธารณประโยชน์ (ทำเลเลี้ยงสัตว์ป่ากุงหนา) ต่อมาเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ได้รังวัดที่ดินและอก น.ส.ล. เลขที่ ๑๕๒๘๗ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายทับที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ที่ ๓ ถึงที่ ๑๐ ครอบครองและทำประโยชน์ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ใช้กำลังเจ้าหน้าที่ข่มขู่ให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสิบเอ็ดทำบันทึกข้อตกลงกรณีบุกรุกที่สาธารณประโยชน์บ้าน กุงหนา ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ถอนสภาพบางส่วนหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงจำนวนเนื้อที่ รูปแผนที่ใน น.ส.ล. เลขที่ ๑๕๒๘๗ โดยกันที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ที่ ๓ ที่ ๔ เฉพาะในส่วนที่ดินตาม น.ส. ๓ เลขที่ ๑๔๔ และผู้ฟ้องคดีที่ ๕ ถึงที่ ๑๐ และบริวารครอบครองทำประโยชน์ออกจากจำนวนเนื้อที่และรูปแผนที่เดิมให้ถูกต้องตรงตามความจริง เห็นว่าที่ดินพิพาทในคดีนี้เป็นที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ที่ ๓ ถึงที่ ๑๐ อ้างว่าเป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองและทำประโยชน์ต่อเนื่องมาจากบรรพบุรุษ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ในฐานะผู้มีอำนาจหน้าที่ดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดิน อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินอ้างว่าเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ในพื้นที่ที่อยู่ในความดูแลรับผิดชอบของตน เมื่อการที่นายอำเภอเสลภูมิมีหนังสือขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ทำการรังวัดออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง ไม่ใช่การใช้อำนาจตามกฎหมาย เป็นแต่เพียงการปฏิบัติหน้าที่ในการดูแลคุ้มครองที่สาธารณะ และการรังวัดเพื่อออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงเป็นเพียงขั้นตอนเหนึ่งในกระบวนการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง กรณีจึงมิใช่คดีพิพาทตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ กรณีตามคำฟ้องและคำให้การจึงเป็นการโต้แย้งสิทธิในที่ดินพิพาทว่าเป็นที่ดินที่ผู้ฟ้องคดี ที่ ๑ ที่ ๓ ถึงที่ ๑๐ มีสิทธิครอบครองตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม