แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ
ย่อสั้น
การที่จำเลยซึ่งเป็นอดีตเจ้าหน้าที่ของรัฐเพิกเฉยไม่ยอมคืนเงินค่าตอบแทนตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านที่ได้รับไปโดยไม่มีสิทธิ อันเนื่องมาจากการที่โจทก์มีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งที่แต่งตั้งจำเลยเป็นผู้ใหญ่บ้าน และมีคำสั่งให้จำเลยพ้นจากตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน โดยให้มีผลย้อนไปถึงวันที่โจทก์มีคำสั่งแต่งตั้งจำเลยเป็นผู้ใหญ่บ้าน เป็นเหตุให้จำเลยต้องนำเงินค่าตอบแทนตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านที่ได้รับไปโดยไม่มีสิทธิคืนให้แก่โจทก์ โจทก์ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองทวงถามแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย กรณีจึงเป็นเรื่องที่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ไม่ใช่การกระทำละเมิดของจำเลยที่เกิดจากการใช้อำนาจทางกฎหมาย หรือการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ อันจะเข้าหลักเกณฑ์ของมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพรบ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เป็นกรณีที่โจทก์ต้องใช้สิทธิฟ้องคดีเพื่อเรียกให้จำเลยชดใช้เงินคืนต่อศาลยุติธรรม ซึ่งเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีทั้งปวงที่ไม่อยู่ในอำนาจของศาลอื่น
ย่อยาว
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๑๒/๒๕๕๙
วันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๙
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓)
ศาลจังหวัดเพชรบุรี
ระหว่าง
ศาลปกครองเพชรบุรี
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดเพชรบุรีโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๘ จังหวัดเพชรบุรี โจทก์ ยื่นฟ้อง นายสมเนตร เรืองโรจน์ จำเลย ต่อศาลจังหวัดเพชรบุรี เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๑๔๓๗/๒๕๕๘ ความว่า เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ จำเลยยื่นใบสมัครรับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ ๗ ตำบลบางขุนไทร อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี ต่อโจทก์ โดยกรอกข้อความให้การรับรองตนเองว่ามีคุณสมบัติครบถ้วนในการที่จะสมัครรับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้าน ตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พระพุทธศักราช ๒๔๕๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งในการลงคะแนนเลือกผู้ใหญ่บ้าน จำเลยได้คะแนนสูงสุด โจทก์จึงมีคำสั่งอำเภอบ้านแหลม ที่ ๖๐/๒๕๕๖ เรื่อง แต่งตั้งผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๗ ตำบลบางขุนไทร ลงวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๖ โดยให้จำเลยเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๗ ตั้งแต่วันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๖ ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตมีและใช้อาวุธปืนติดตัวภายในเขตจังหวัดเพชรบุรี จึงมีการตรวจสอบประวัติอาชญากร พบว่า เมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๓๙ ศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๖๒ วรรคหนึ่ง , ๑๐๖ วรรคหนึ่ง จำคุก ๑ ปี ปรับ ๒๐,๐๐๐ บาท จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุก ๖ เดือน ปรับ ๑๐,๐๐๐ บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด ๒ ปี โดยให้คุมความประพฤติ มีกำหนดเวลา ๑ ปี คำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๙๔๓/๒๕๓๙ ของศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จำเลยจึงขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามของการที่จะได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้าน ตามมาตรา ๑๒ (๑๑) แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พระพุทธศักราช ๒๔๕๗ โจทก์จึงมีคำสั่งอำเภอบ้านแหลม ที่ ๑๒๐/๒๕๕๘ ลงวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๘ เรื่อง ให้เพิกถอนคำสั่งอำเภอบ้านแหลม ที่ ๖๐/๒๕๕๖ เรื่อง แต่งตั้งผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๗ ตำบลบางขุนไทร ลงวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๖ และมีคำสั่งอำเภอบ้านแหลม ที่ ๑๒๑/๒๕๕๘ เรื่อง ให้ผู้ใหญ่บ้านพ้นจากตำแหน่ง ลงวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๘ จากนั้นได้มีหนังสือที่ พบ ๐๕๑๘/๑๗๖๕ ลงวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๘ แจ้งการออกคำสั่งดังกล่าวให้จำเลยทราบและให้นำเงินค่าตอบแทนที่ได้รับในอัตราเดือนละ ๘,๐๐๐ บาท นับตั้งแต่วันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๘ รวมเป็นเงิน ๒๑๓,๑๖๑ บาท คืนให้ทางราชการ ภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันได้รับหนังสือ และได้มีหนังสือแจ้งเตือนอีก ๓ ครั้ง แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้ศาลบังคับจำเลยคืนเงินจำนวน ๒๑๓,๑๖๑ บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่มีเจตนาทุจริตแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงอันควรบอกให้แจ้งเรื่องคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน แต่เกิดจากความบกพร่องของโจทก์ที่ละเลยไม่ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมัครและลักษณะต้องห้ามของผู้ดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านของจำเลยเป็นเวลา ๒ ปี ดังนั้น โจทก์จึงไม่อาจเรียกให้จำเลยคืนเงินเดือนและผลประโยชน์ที่ได้รับไปแล้วได้ อีกทั้งจำเลยนำมูลเหตุแห่งคดีเดียวกันนี้ยื่นฟ้องโจทก์และอำเภอบ้านแหลมต่อศาลปกครองเพชรบุรี เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๘๐๐/๒๕๕๘ ขอให้เพิกถอนคำสั่งที่ให้พ้นจากตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน โดยให้แต่งตั้งจำเลยดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน และให้คืนเงินค่าตอบแทนเป็นรายเดือนให้แก่ผู้ฟ้องคดี คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณา
จำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลจังหวัดเพชรบุรีพิจารณาแล้ว เห็นว่า คดีนี้แม้โจทก์จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีของโจทก์ก็สืบเนื่องจาก โจทก์อ้างว่าจำเลยกระทำการโดยไม่สุจริต จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าตอบแทนตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านและต้องคืนเงินนั้นแก่โจทก์ ดังนั้น การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้ จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า การกระทำของจำเลยเป็นละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ และจำเลยต้องคืนเงินแก่โจทก์หรือไม่ เพียงไรเป็นสำคัญ จึงเป็นข้อพิพาทที่ต้องพิจารณาตามหลักแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองเพชรบุรีพิจารณาแล้ว เห็นว่า การที่จำเลยยื่นใบสมัคร โดยรับรองว่ามีคุณสมบัติครบถ้วนในการสมัครรับเลือกผู้ใหญ่บ้าน จึงเป็นการกระทำที่ไม่สุจริตตั้งแต่แรก โจทก์มีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งแต่งตั้งจำเลยเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๗ ตำบลบางขุนไทร อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี และให้จำเลยพ้นจากตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน นับตั้งแต่วันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๖ จำเลยจึงต้องคืนเงินตอบแทนในอัตราเดือนละ ๘,๐๐๐ บาท นับตั้งแต่วันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๘ รวมเป็นเงิน ๒๑๓,๑๖๑ บาท ซึ่งเป็นลาภมิควรได้แก่ทางราชการตามนัยข้อ ๗/๑ ของระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทนตำแหน่ง และเงินอื่นๆ ให้แก่กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนัน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายปกครอง และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบ พ.ศ. ๒๕๔๖ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๒ และพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๔๙ มาตรา ๕๐ และมาตรา ๕๑ โจทก์มีหนังสือแจ้งคำสั่งและบอกกล่าวให้จำเลยคืนเงินแต่จำเลยเพิกเฉย จึงนำคดีมาฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยคืนเงินจำนวน ๒๑๓,๑๖๑ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์แล้ว เห็นว่า การกระทำของจำเลยอันเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องต่อศาลจังหวัดเพชรบุรีเพื่อเรียกเงินตอบแทนผู้ใหญ่บ้านคืนจากจำเลยนั้น เป็นการกระทำที่สืบเนื่องมาจากการที่โจทก์โดยอำเภอบ้านแหลม ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดของโจทก์ได้มีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งแต่งตั้งจำเลยเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๗ ตำบลบางขุนไทร อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี เพราะขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามที่จะได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้าน ตามมาตรา ๑๒ (๑๑) แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พระพุทธศักราช ๒๔๕๗ พร้อมทั้งมีหนังสือที่ พบ ๐๕๑๘/๑๗๖๕ ลงวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๕๘ แจ้งการออกคำสั่งดังกล่าวให้จำเลยทราบและให้นำเงินค่าตอบแทนที่ได้รับดังกล่าวข้างต้นคืนให้ทางราชการ ภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันได้รับหนังสือ และได้มีหนังสือแจ้งเตือนอีก ๓ ครั้ง แต่จำเลยเพิกเฉย โจทก์จึงยื่นฟ้องคดีดังกล่าว กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากคำสั่งทางปกครอง ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครองคณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในเรื่องดังต่อไปนี้…(๓) คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร จากบทบัญญัติดังกล่าวจะเห็นได้ว่า การฟ้องคดีเพื่อให้หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐรับผิดจากการกระทำละเมิดซึ่งจะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองนี้ ต้องเป็นกรณีที่จำเลยหรือผู้ถูกฟ้องคดีซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือผู้ฟ้องคดีอันเนื่องมาจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร เมื่อคดีนี้โจทก์ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองฟ้องเรียกให้จำเลยซึ่งเคยเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐคืนเงินค่าตอบแทนตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านที่ได้รับไปโดยไม่มีสิทธิ อันเนื่องมาจากการที่โจทก์มีคำสั่งอำเภอบ้านแหลม ที่ ๑๒๐/๒๕๕๘ ให้เพิกถอนคำสั่งที่แต่งตั้งจำเลยเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๗ และมีคำสั่งที่ ๑๒๑/๒๕๕๘ ให้จำเลยพ้นจากตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๗ โดยให้มีผลย้อนไปถึงวันที่โจทก์มีคำสั่งแต่งตั้งจำเลยเป็นผู้ใหญ่บ้าน เป็นเหตุให้จำเลยต้องนำเงินค่าตอบแทนตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านที่ได้รับไปโดยไม่มีสิทธิคืนให้แก่โจทก์ แต่จำเลยไม่ยอมคืนเงินดังกล่าว กรณีจึงเป็นเรื่องที่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐโต้แย้งสิทธิของโจทก์ แต่การเพิกเฉยไม่ยอมคืนเงินให้แก่โจทก์ไม่ใช่การกระทำละเมิดของจำเลยที่เกิดจากการใช้อำนาจทางกฎหมาย หรือการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ปฏิบัติ อันจะเข้าหลักเกณฑ์ของมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง แต่เป็นกรณีที่โจทก์ต้องใช้สิทธิฟ้องคดีเพื่อเรียกให้จำเลยชดใช้เงินคืนต่อศาลยุติธรรม ซึ่งเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีทั้งปวงที่ไม่อยู่ในอำนาจของศาลอื่น
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง จังหวัดเพชรบุรี โจทก์ นายสมเนตร เรืองโรจน์ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) วีระพล ตั้งสุวรรณ (ลงชื่อ) จิรนิติ หะวานนท์
(นายวีระพล ตั้งสุวรรณ) (นายจิรนิติ หะวานนท์)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ปิยะ ปะตังทา (ลงชื่อ) ชาญชัย แสวงศักดิ์
(นายปิยะ ปะตังทา) (นายชาญชัย แสวงศักดิ์)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลเรือโท ปรีชาญ จามเจริญ (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(ปรีชาญ จามเจริญ) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ