แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์และจำเลยทั้งสามทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันและศาลพิพากษาตามยอมแล้ว คำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความย่อมผูกพันคู่ความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 หากโจทก์เห็นว่าคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความมิได้เป็นไปตามเจตนารมณ์หรือมิได้เป็นไปตามข้อตกลง โจทก์ชอบที่จะใช้สิทธิอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 138 วรรคสอง เพื่อให้ศาลอุทธรณ์ได้แก้ไขให้เป็นไปตามข้อตกลงหรือเจตนารมณ์ของโจทก์และจำเลยทั้งสาม แต่โจทก์หาได้ใช้สิทธิดังกล่าวไม่ กลับใช้สิทธิยื่นคำร้องขอแก้ไขสัญญาประนีประนอมยอมความอันเป็นส่วนหนึ่งของคำพิพากษา ซึ่งการจะขอแก้ไขข้อผิดพลาดได้จะต้องเป็นข้อผิดพลาดเล็กน้อยหรือข้อผิดหลงเล็กน้อยอื่นๆ ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 143 วรรคแรก เมื่อส่วนที่โจทก์ขอแก้ไขและศาลชั้นต้นไม่อนุญาตนั้นเป็นการเพิ่มความรับผิดให้จำเลยทั้งสามต้องรับผิดมากขึ้นกว่าเดิม จึงมิใช่ข้อผิดพลาดเล็กน้อยหรือข้อผิดหลงเล็กน้อยอื่น ๆ แม้จำเลยทั้งสามจะไม่คัดค้านโจทก์ก็ไม่อาจขอแก้ไขได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสาม  โดยจำเลยทั้งสามยอมรับผิดชำระหนี้เงินให้แก่โจทก์  ซึ่งตามสัญญาข้อ ๕ มีความว่า  หากจำเลยทั้งสามผิดนัดไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความนี้ไม่ว่าข้อหนึ่งข้อใดหรือเดือนหนึ่งเดือนใด  ให้ถือว่าจำเลยทั้งสามผิดนัดชำระหนี้ทั้งหมด  และยินยอมให้โจทก์บังคับคดีในหนี้ที่ค้างชำระได้ทันที และจำเลยทั้งสามจะต้องรับผิดในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี และเบี้ยปรับในอัตราร้อยละ ๖ ต่อปี  จากต้นเงินที่ค้างชำระนับแต่วันที่ผิดนัดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จสิ้น  โดยยอมให้โจทก์ยึดอายัดทรัพย์สินของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนกว่าจะครบถ้วน
โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขสัญญาประนีประนอมยอมความว่า  โจทก์พิมพ์นามสกุลของจำเลยที่ ๓ ในสัญญาประนีประนอมยอมความผิดพลาด โดยขอแก้นามสกุลจาก “วงษ์สัจจานนันท์”  เป็น  “วงษ์สัจจานันท์”  และข้อความในสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ ๕ บรรทัดที่ ๒ นับจากด้านล่างโจทก์พิมพ์ตกผิดพลาดไปจากเจตนารมณ์ที่ตกลงไว้กับจำเลยทั้งสาม  จากเดิมว่า “และจำเลยทั้งสามจะต้องรับผิดใน…”  ขอแก้ไขเพิ่มเติมเป็นว่า “และจำเลยทั้งสามจะต้องรับผิดในเบี้ยปรับที่โจทก์ลดให้อีกจำนวน ๔๘๙,๕๘๙.๕๕  บาท  และดอกเบี้ยที่โจทก์ลดให้อีกจำนวน ๑๒๔,๖๕๒.๙๗  บาท  พร้อมดอกเบี้ยใน…”
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้แก้ไขเฉพาะนามสกุลของจำเลยที่ ๓ คำร้องในส่วนอื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นว่า คดีนี้โจทก์และจำเลยทั้งสามทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาลและศาลพิพากษาตามยอมแล้ว  คำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความย่อมผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา ๑๔๕ หากโจทก์เห็นว่าคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวมิได้เป็นไปตามเจตนารมณ์หรือมิได้เป็นไปตามข้อตกลง  โจทก์ชอบที่จะใช้สิทธิอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา ๑๓๘ วรรคสอง  ทั้งนี้เพื่อให้ศาลอุทธรณ์ได้แก้ไขให้เป็นไปตามข้อตกลงหรือเจตนารมณ์ของโจทก์และจำเลยทั้งสาม  แต่โจทก์หาได้ใช้สิทธิอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาดังกล่าวไม่  กลับใช้สิทธิยื่นคำร้องขอแก้ไขสัญญาประนีประนอมยอมความอันเป็นส่วนหนึ่งของคำพิพากษา  ซึ่งการจะขอแก้ไขข้อผิดพลาดได้จะต้องเป็นข้อผิดพลาดเล็กน้อย หรือข้อผิดหลงเล็กน้อยอื่น ๆ ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๓ วรรคแรก โดยเฉพาะในส่วนที่โจทก์ขอแก้ไขและศาลชั้นต้นไม่อนุญาตนั้นเป็นการเพิ่มความรับผิดให้จำเลยทั้งสามต้องรับผิดมากขึ้นกว่าเดิม  จึงมิใช่ข้อผิดพลาดเล็กน้อยหรือข้อผิดหลงเล็กน้อยอื่น ๆ แม้จำเลยทั้งสามจะไม่คัดค้าน  โจทก์ก็ไม่อาจขอแก้ไขได้  คำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้วฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน  
นางสุรีพร  อัชฌานนท์       ผู้ช่วยฯ
นางสาวอังคณา สินเกษม    ย่อ
นายไพโรจน์  โรจน์อภิรักษ์กุล  ตรวจ
นายวีระวัฒน์  ปวราจารย์    ผู้ช่วยฯ/ตรวจ

