แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยพาผู้เสียหายและ ส. คนรักผู้เสียหายไปยังกระท่อมที่เกิดเหตุ ต่อมา ส. กลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีจึงคิด จะกลับ ขณะที่ ส. กำลังติดเครื่องรถจักรยานยนต์และผู้เสียหายจะนั่งซ้อนท้าย จำเลยได้เข้ามาล็อกคอผู้เสียหาย ลากลงมาและกอดปล้ำผู้เสียหาย จากนั้นมี ต. และ ช. เข้ามาจับแขนขาผู้เสียหายพาไปที่แคร่ข้ากระท่อมแล้วช่วยกันถอดกางเกงผู้เสียหาย ส. จะเข้าไปช่วยเหลือแต่ถูก ช. ขัดขวาง ต. ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายเป็นคนแรกโดยมี ช. ช่วยจับแขนขาผู้เสียหาย ระหว่างนั้นจำเลยซึ่งอยู่บริเวณแคร่ได้ตะโกนบอกให้ จ. ไปตามหา ส. ซึ่งหนีออกไปหา คนช่วยเหลือแล้วจำเลยและ จ. วิ่งออกไปเพื่อหวังสะกัดกั้นมิให้ ส. ไปร้องขอความช่วยเหลือ หลังจาก ต. ข่มขืน กระทำชำเราเสร็จแล้ว ช. ได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายเป็นคนต่อไป ดังนี้ แม้จำเลยจะมิได้ช่วยจับแขนขาผู้เสียหายระหว่าง ต. หรือ ช. ข่มขืนกระทำชำเราก็ตาม แต่การกระทำของจำเลยดังกล่าวนับได้ว่าเป็นตัวการในการร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงตาม ป.อ. มาตรา 276 วรรคสอง แล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖, ๘๓, ๕๘ และบวกโทษที่รอการลงโทษไว้ใน คดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๑๔๘๗/๒๕๓๘ ของศาลชั้นต้นเข้ากับโทษของจำเลยในคดีนี้
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๘๓ จำคุก ๑๕ ปี บวกโทษที่รอไว้เข้ากับคดีนี้เป็นจำคุก ๑๖ ปี ๑ เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๖ พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว วินิจฉัยว่าเหตุการณ์ที่ถูกคนร้ายข่มขืนกระทำชำเรานั้นหากไม่เป็นความจริงและไม่ได้เกิดขึ้นกับผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กนักเรียนอายุเพียง ๑๕ ปีเศษ แล้วคงจะไม่กล่าวอ้างให้ตนเองต้องได้รับความเสื่อมเสีย เป็นแน่ คดีฟังได้มั่นคงว่า จำเลยได้ชักพาผู้เสียหายและนายสุรชัยคนรักผู้เสียหายไปยังกระท่อมที่เกิดเหตุ ต่อมา นายสุรชัย กลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีจึงคิดจะกลับ ขณะที่นายสุรชัยกำลังติดเครื่องรถจักรยานยนต์และผู้เสียหายจะนั่ง ซ้อนท้าย จำเลยได้เข้ามาล็อกคอผู้เสียหายลากลงมาและกอดปล้ำผู้เสียหาย จากนั้นนายเตี้ย นายแจ๊คและนายเชียรเข้ามาจับแขนขาผู้เสียหายพาไปที่แคร่ข้างกระท่อมแล้วช่วยกันถอดกางเกงผู้เสียหาย นายสุรชัยจะเข้าไปช่วยเหลือแต่ถูก นายเชียรขัดขวาง นายเตี้ยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายเป็นคนแรกโดยมีนายเชียรช่วยจับแขนขาผู้เสียหาย ระหว่างนี้จำเลยซึ่งอยู่บริเวณแคร่ได้ตะโกนบอกให้นายแจ๊คไปตามหานายสุรชัยซึ่งหนีออกไปหาคนช่วยเหลือ แล้วจำเลยและนายแจ๊ควิ่งออกไปเพื่อหวังสะกัดกั้นมิให้นายสุรชัยไปร้องขอความช่วยเหลือได้ หลังจากนายเตี้ยข่มขืนกระทำชำเราเสร็จแล้ว นายเชียรได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายเป็นคนต่อไป ดังนี้ แม้จำเลยจะมิได้ช่วยจับแขนขาผู้เสียหายระหว่างที่นายเตี้ยหรือนายเชียรกระทำชำเราด้วยก็ตาม แต่การกระทำของจำเลยดังกล่าวนับได้ว่าเป็นตัวการในการร่วมมือ ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖ วรรคสอง แล้ว
พิพากษายืน