แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ฟ้องข้อ ข. โจทก์บรรยายให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้อาวุธมีดฟันผู้เสียหายทั้งสองโดยเจตนาฆ่าและคมมีดถูกผู้เสียหายทั้งสองที่บริเวณคอรายละเอียดบาดแผลปรากฏตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้องซึ่งปรากฏว่าผู้เสียหายที่ 1 มีบาดแผลที่บริเวณคอหนึ่งแผล และผู้เสียหายที่ 2มีบาดแผลที่บริเวณคอสองแผล อันเป็นการกระทำต่อผู้เสียหายแต่ละคนแยกออกจากกันได้ จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธมีดฟันผู้เสียหายที่ 1 แล้วเดินตามไปฟันผู้เสียหายที่ 2 ขณะกำลังเดินเข้าไปในงาน ห่างประมาณ 5 เมตร เป็นการฟันผู้เสียหายทั้งสองคนละคราวกัน การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานพยายามฆ่าเป็นสองกระทงความผิด จึงมิใช่เป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือมิได้กล่าวในฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคแรก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ จำเลยทั้งสองร่วมกันพาอาวุธมีด 1 เล่ม ขนาดยาวประมาณ 35 เซนติเมตร ติดตัวไปในเมืองและชุมนุมชนที่ได้จัดให้มีงานจำหน่ายสินค้าโดยไม่มีเหตุสมควร และร่วมกันใช้อาวุธมีดดังกล่าวฟันนายหมัน โดยมังสา ผู้เสียหายที่ 1 และนายตน มานิต ผู้เสียหายที่ 2 โดยเจตนาฆ่า คมมีดถูกผู้เสียหายทั้งสองที่บริเวณคอ จำเลยทั้งสองลงมือกระทำความผิดไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 80, 83, 91, 288 และ 371 นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 42/2537 ของศาลจังหวัดเบตง และริบอาวุธมีดของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 1 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 371 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน จึงให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามมาตรา 91แม้จำเลยที่ 1 อายุไม่เกิน 20 ปี ก็ไม่เห็นสมควรลดมาตราส่วนโทษให้ตามมาตรา 76ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น ให้ลงโทษจำคุกกระทงละ 12 ปี ฐานพาอาวุธไปในชุมนุมชนให้ลงโทษปรับ 90 บาท รวมจำคุก 24 ปี และปรับ 90 บาท คำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 1 ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 16 ปี และปรับ 60 บาท ให้นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 42/2537 ของศาลจังหวัดเบตง ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามมาตรา 29, 30 ริบอาวุธมีดของกลาง ส่วนจำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นแต่เพียงกระทงเดียว มีกำหนด 12 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นการลุแก่โทษต่อเจ้าพนักงานและเป็นการให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา กรณีมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 8 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 โดยคู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้งคัดค้านว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธมีดของกลางขนาดยาวประมาณ 35 เซนติเมตรฟันนายหมัน โดยมังสา ผู้เสียหายที่ 1 และนายตน มานิต ผู้เสียหายที่ 2 ถูกที่บริเวณคอ ปรากฏบาดแผลตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของโจทก์ว่า การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นเป็นสองกระทงความผิด เป็นการพิพากษาเกินคำขอดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ในฟ้องข้อ 1 โจทก์จะบรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกันเพียง 2 ข้อ คือ ข้อ ก. จำเลยทั้งสองร่วมกันพาอาวุธมีดติดตัวไปในเมืองและชุมนุมชนโดยไม่มีเหตุสมควร กับข้อ ข. จำเลยทั้งสองร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหายทั้งสองก็ตาม แต่ในฟ้องข้อ ข. โจทก์ได้บรรยายให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้อาวุธมีดฟันผู้เสียหายทั้งสองโดยเจตนาฆ่าและคมมีดถูกผู้เสียหายทั้งสองที่บริเวณคอ รายละเอียดบาดแผลปรากฏตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้อง ซึ่งปรากฏว่าผู้เสียหายที่ 1 มีบาดแผลที่บริเวณคอหนึ่งแผล และผู้เสียหายที่ 2 มีบาดแผลที่บริเวณคอสองแผล อันเป็นการกระทำต่อผู้เสียหายแต่ละคนแยกออกจากกันได้ อีกทั้งโจทก์ได้ระบุประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 มาในคำขอท้ายฟ้องด้วยประกอบกับข้อเท็จจริงได้ความตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 โดยคู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้งคัดค้านว่า หลังจากจำเลยที่ 1 ใช้อาวุธมีดฟันผู้เสียหายที่ 1 แล้ว ได้เดินตามไปฟันผู้เสียหายที่ 2 ขณะกำลังเดินเข้าไปในงาน ห่างประมาณ 5 เมตร อันเป็นการฟันผู้เสียหายทั้งสองคนละคราวกัน การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานพยายามฆ่าเป็นสองกระทงความผิด จึงมิใช่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ หรือมิได้กล่าวในฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคแรก ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัยแต่ประการใด ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นแต่เพียงกระทงเดียวนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
อนึ่ง ความผิดฐานพาอาวุธไปในชุมนุมชน ศาลชั้นต้นพิพากษาปรับ 60 บาทไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นั้น ไม่ถูกต้องที่ถูกต้องปรับตามมาตรา 29 เพียงบทเดียว ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไข”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แต่หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29