แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ปัญหาว่าการฟ้องคดีของโจทก์เป็นการฟ้องซ้ำหรือไม่ จำเลยได้ขอสละข้อต่อสู้ดังกล่าวไปแล้วก็ตาม แต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยจึงมีสิทธิฎีกาได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคสอง
คดีก่อน โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งส่วนอาญาและส่วนแพ่งรวมกันมา ต่อมาศาลชั้นต้นให้แยกคดีส่วนแพ่งออกจากคดีส่วนอาญา โจทก์จึงถอนฟ้องคดีส่วนแพ่งแล้วยื่นฟ้องเข้ามาใหม่ วันฟ้องคดีส่วนแพ่งที่ถอนฟ้องแล้วยื่นฟ้องเข้ามาใหม่ตามที่ศาลชั้นต้นให้แยกคดีส่วนแพ่งออกจากคดีส่วนอาญานั้นยังคงเป็นวันฟ้องเดิมในคดีอาญาสินไหมนั่นเอง การยื่นฟ้องคดีส่วนแพ่งดังกล่าวจึงไม่ถือว่าเป็นการยื่นฟ้องใหม่ แต่ถือว่าเป็นเพียงการแยกคดีส่วนแพ่งออกจากคดีส่วนอาญาตามคำสั่งศาลชั้นต้น เมื่อการยื่นฟ้องมีเพียงคราวเดียวเท่านั้นจึงไม่เป็นการฟ้องซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 และเมื่อมีการแยกคดีส่วนแพ่งออกไปแล้ว คดีอาญาสินไหมก็คงเหลือเพียงคดีส่วนอาญาซึ่งมีปัญหาเพียงว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ สำหรับคดีส่วนแพ่งซึ่งถูกแยกออกไปนั้น มีปัญหาว่าจำเลยได้กระทำละเมิดโจทก์หรือไม่ และจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์หรือไม่เพียงใดประเด็นแห่งคดีแตกต่างกัน การดำเนินกระบวนพิจารณาในคดีส่วนแพ่งจึงไม่ซ้ำกับการดำเนินกระบวนพิจารณาในส่วนอาญาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากทิ่ดินของโจทก์และห้ามยุ่งเกี่ยวกับที่ดินของโจทก์ ชำระค่าต้นปอกระเจา ๕๐๐ บาท และค่าเสียหายปีละ ๑,๐๐๐ บาท ตั้งแต่วันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๓๗ จนกว่าจำเลยทั้งสองและบริวารจะเลิกยุ่งเกี่ยวกับที่ดินของโจทก์
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้ขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ห้ามมิให้ ยุ่งเกี่ยวกับที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๒๐๐ บาท แก่โจทก์ และให้ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ ๒,๐๐๐ บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอที่ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายต้นปอกระเจา นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ ๕๐๐ บาท แทนโจทก์
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๒ ว่า เมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๓๗ และวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๓๗ จำเลยทั้งสองกับพวกเข้าไปในที่ดินพิพาทเนื้อที่ประมาณ ๓๕ ตารางวา ซึ่งเป็นที่ดินของโจทก์ โดยโจทก์ได้ล้อมรั้วและปลูกต้นกล้วยไว้ จำเลยทั้งสองกับพวกได้รื้อถอนรั้วด้านทิศตะวันตกและด้านทิศใต้ออก แล้วทำรั้วขึ้นใหม่ โจทก์ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนและฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลชั้นต้นเป็นคดีอาญาสินไหม ภายในกำหนด ๑ ปี นัยแต่วันที่ถูกแย่งการครอบครองในข้อหาบุกรุก ทำให้เสียทรัพย์ และเรียกค่าเสียหาย ครั้นวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๓๘ ซึ่งเป็นวันนัดฟังคำพิพากษาในคดีดังกล่าว ศาลชั้นต้นได้ปรึกษากับโจทก์แล้วเห็นควรฟ้องคดีส่วนแพ่งเป็นคดีต่างหาก โจทก์จึงขอถอนฟ้องคดีส่วนแพ่งเพื่อนำไปฟ้องเป็นคดีใหม่ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ถอนฟ้อง สำหรับคดีส่วนอาญาศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๑๓๑๖/๒๕๓๘ โจทก์ได้ฟ้องคดีนี้ซึ่งเป็นคดีส่วนแพ่งเมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๓๘ มีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า การฟ้องคดีนี้เป็นการฟ้องซ้ำกับคดีอาญาสินไหมหมายเลขแดงที่ ๑๓๑๖/๒๕๓๘ หรือไม่ แม้ปัญหานี้จำเลยทั้งสองจะให้การสู้คดีไว้ แต่ในวันนัดชี้สองสถานจำเลยได้ขอสละข้อต่อสู้ดังกล่าวตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๓๙ ปัญหานี้เป็นเรื่องที่ มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นเช่นเดียวกับปัญหาที่จำเลยทั้งสองยกขึ้นฎีกา การฟ้องของโจทก์เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับดคีอาญาสินไหมหมายเลขแดงที่ ๑๓๑๖/๒๕๓๘ ซึ่งปัญหานี้จำเลยทั้งสองไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้ จึงเป็นเรื่องที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น แต่ปัญหาทั้งสองนี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยทั้งสองจึงมิสิทธิขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาทั้งสองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ วรรคสอง ในปัญหานี้ศาลฎีกาเห็นว่า ในการยื่นฟ้องคดีอาญาสินไหมหมายเลขแดงที่ ๑๓๑๖/๒๕๓๘ โจทก์ได้ยื่นฟ้องคดีทั้งส่วนอาญาและส่วนแพ่งรวมกันมาเป็นคดีเดียวกัน แม้ต่อมาศาลชั้นต้นจะให้แยกคดีส่วนแพ่งออกจากคดีส่วนอาญา โจทก์จึงได้ถอนฟ้องคดีส่วนแพ่งแล้วยื่นฟ้องเข้ามาใหม่ วันฟ้องของคดีส่วนแพ่งที่ถอนฟ้องแล้วยื่นฟ้อง เข้ามาใหม่ตามที่ศาลชั้นต้นให้แยกคดีส่วนแพ่งออกจากคดีส่วนอาญานั้นยังคงเป็นวันฟ้องเดิมในคดีอาญาสินไหม นั่นเอง การยื่นฟ้องคดีส่วนแพ่งดังกล่าวจึงมิได้ถือว่าเป็นการยื่นฟ้องใหม่แต่ถือว่าเป็นเพียงการแยกคดีส่วนแพ่ง ออกจากคดีส่วนอาญาตามคำสั่งศาลชั้นต้นนั่นเอง การยื่นฟ้องมีเพียงคราวเดียวเท่านั้นจึงไม่เป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๘ และเมื่อมีการแยกคดีส่วนแพ่งออกไปแล้ว คดีอาญาสินไหมก็คงเหลือเพียงคดีส่วนอาญาซึ่งมีปัญหาเพียงว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ สำหรับคดีส่วนแพ่งซึ่งถูกแยก ออกไปนั้น มีปัญหาว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำละเมิดโจทก์หรือไม่ และจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์หรือไม่เพียงใด ประเด็นแห่งคดีแตกต่างกัน การดำเนินกระบวนพิจารณาในคดีส่วนแพ่งจึงไม่ซ้ำกับการดำเนินกระบวนพิจารณาในส่วนอาญา ตามมาตรา ๑๔๔ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากาาให้ขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์ห้ามมิให้ให้ยุ่งเกี่ยวกับที่ดินของโจทก์ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ