แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตอนเช้าก่อนเกิดเหตุพระภิกษุ ว. กับพวกถูกจำเลยตำหนิว่าอยู่วัดแล้วจับกลุ่มคุยกันไม่ทำงานเดี๋ยวจะสาดกระสุนปืนใส่ไม่ให้เห็นหน้าญาติ แสดงว่าจำเลยไม่พอใจและมีความคิดจะทำอันตรายพระภิกษุ ว. กับพวกอยู่แล้ว เมื่อจำเลยเจตนาใช้อาวุธปืนยิงพระภิกษุ ว. จริง แม้จำเลยจะไม่มีเจตนาประสงค์ต่อผลให้พระภิกษุ ว. กับพวกถูกกระสุนปืนถึงแก่ความตาย แต่ปืนเป็นอาวุธร้ายแรง จำเลยใช้อาวุธปืนยิงไปที่กุฏิของพระภิกษุ ว. ซึ่งอยู่ห่างเพียง 20 เมตร โดยจำเลยรู้ว่าขณะนั้นมีคนอยู่ในกุฏิดังกล่าว จำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่ากระสุนปืนอาจถูกคนในกุฏิถึงแก่ความตายได้ เมื่อกระสุนปืนที่จำเลยยิงถูกผู้เสียหาย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๐, ๙๑, ๒๘๘ พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๗๒ และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๐, ๒๘๘ พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๗๒ วรรคหนึ่ง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ฐานมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก ๑ ปี ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุก ๑๐ ปี รวมจำคุก ๑๑ ปี คำให้การในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง นับว่ามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุก ๗ ปี ๔ เดือน และริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยมีอาวุธปืนพกขนาด .๓๘ ชนิดลูกโม่จำนวน ๑ กระบอก ไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้ และมีกระสุนปืนขนาด .๓๘ (พิเศษ) จำนวน ๑ นัด ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และพระภิกษุไชยวุฒิ ปิยาจาโร ผู้เสียหายถูกกระสุนปืนที่จำเลยยิงได้รับบาดเจ็บเป็นอันตรายแก่กาย มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายหรือไม่ แม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานเห็นจำเลยขณะกระทำผิด แต่พระภิกษุวีระเดชพยานโจทก์ซึ่งอยู่ในกุฏิ ที่เกิดเหตุเบิกความว่า ตอนเช้าก่อนเกิดเหตุพยานกับพวกถูกจำเลยตำหนิว่า อยู่วัดแล้วจับกลุ่มคุยกันไม่ทำงาน เดี๋ยวจะสาดกระสุนปืนใส่ไม่ให้เห็นหน้าญาติ แสดงว่าจำเลยไม่พอใจและมีความคิดจะทำอันตรายพระภิกษุวีระเดชกับพวกอยู่แล้ว หลังเกิดเหตุเมื่อสิ้นเสียงปืนก็ได้ความจากสามเณรธุรกิจพยานโจทก์อีกปากหนึ่งว่า เห็นจำเลยถืออาวุธปืนเดินจากระเบียงเข้าไปในกุฏิ สามเณรธุรกิจบอกเรื่องนี้แก่ผู้เสียหาย พระภิกษุวีระเดชและแจ้งนายดาบตำรวจอนันต์ วินทะไชย ซึ่งไปยังที่เกิดเหตุ นายดาบตำรวจอนันต์จึงจับจำเลย จำเลยรับว่าเป็นคนยิงและพาไปเอาอาวุธปืนของกลางซึ่งเอาไปซ่อนไว้ที่กอกล้วยหลังห้องน้ำ โดยโจทก์มีนายดาบตำรวจอนันต์เป็นพยานเบิกความยืนยันข้อเท็จจริงดังกล่าว ประกอบกับในชั้นสอบสวนจำเลยรับสารภาพว่าซื้ออาวุธปืนของกลางมาในราคา ๙๐๐ บาท และจำเลยได้ใช้อาวุธปืนนั้นยิงไปที่กุฏิพระภิกษุวีระเดช ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าจำเลยเจตนาใช้อาวุธปืนยิงไปที่กุฏิพระภิกษุวีระเดชจริง แม้จำเลยจะไม่มีเจตนาประสงค์ต่อผลให้พระภิกษุวีระเดชกับพวกถูกกระสุนปืนถึงแก่ความตาย แต่ปืนเป็นอาวุธร้ายแรงจำเลยใช้อาวุธปืนยิงไปที่กุฏิของพระภิกษุวีระเดชซึ่งอยู่ห่างเพียง ๒๐ เมตร โดยจำเลยรู้ว่าขณะนั้นมีคนอยู่ในกุฏิดังกล่าว จำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่ากระสุนปืนอาจถูกคนในกุฏิถึงแก่ความตายได้ เมื่อกระสุนปืนที่จำเลยยิงถูกผู้เสียหาย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย
พิพากษายืน