คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4563/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หลังจากโจทก์ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลแล้ว จำเลยได้พูดผ่านเครื่องกระจายเสียงต่อประชาชนว่า โจทก์เป็นคนขี้โกงเอาที่สาธารณประโยชน์เป็นของตนเอง คำกล่าวของจำเลยเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงว่าโจทก์เอาที่สาธารณประโยชน์ไปเป็นของตนเอง โดยจำเลยแสดงความคิดเห็นประกอบว่าโจทก์ผู้กระทำการดังกล่าวเป็นคนขี้โกง ก็โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนต่อต้านการกระทำที่จำเลยเห็นว่าไม่ถูกต้องตามกฎหมายมีความไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นเพื่อเรียกร้องเอาที่สาธารณประโยชน์ในตำบลที่จำเลยอยู่อาศัยคืน และหากปรากฏว่าโจทก์โกงที่สาธารณประโยชน์เป็นของตนเอง โจทก์ย่อมไม่ใช่ผู้ที่มีความซื่อสัตย์สุจริตประชาชนไม่ควรไว้วางใจให้โจทก์เข้าไปมีส่วนร่วมบริหารกิจการขององค์การบริหารส่วนตำบลแทนประชาชน และการเรียกร้องเอาที่สาธารณประโยชน์คืนเพื่อประโยชน์ของประชาชนและจำเลยเองด้วย จำเลยจึงมีความชอบธรรมที่จะเปิดเผยให้ประชาชนทราบถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวเพื่อป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรมตลอดจนแสดงความคิดเห็นติชมด้วยความเป็นธรรม ซึ่งการกระทำดังกล่าวอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ และข้อความที่จำเลยกล่าวมีมูลความจริง มิใช่เป็นการเสกสรรปั้นแต่งเรื่องขึ้นใส่ร้ายโจทก์โดยไม่มีมูลความจริง การแสดงข้อความและความคิดเห็นของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยสุจริต จำเลยไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทตาม ป.อ. มาตรา 329 (1) (3)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 326, 328 กับให้จำเลยทั้งสามออกประกาศด้วยแผ่นปลิวและประกาศโฆษณาทางเครื่องขยายเสียงในบริเวณหมู่บ้านหมู่ที่ 9 และตลาดอำเภอแก้งสนามนางติดต่อกันไม่น้อยกว่า 7 วัน ด้วยข้อความว่า “ที่จำเลยทั้งสามใส่ความหมิ่นประมาทโจทก์ว่าเป็นคนขี้โกง เอาที่สาธารณประโยชน์เป็นของตนเองนั้น เป็นความเท็จทั้งสิ้น” โดยจำเลยทั้งสามเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 จำคุก 3 เดือน และปรับ 10,000 บาท จำเลยที่ 1 ไม่เคยมีประวัติกระทำความผิดมาก่อน ให้รอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด 1 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้น อนุญาตให้โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ว่า เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2539 หลังจากโจทก์ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลแก้งสนามนางแล้ว จำเลยที่ 1 ได้พูดผ่านเครื่องกระจายเสียงต่อประชาชนว่า โจทก์เป็นคนขี้โกง เอาที่สาธารณประโยชน์เป็นของตนเอง หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ได้ร้องเรียนไปยังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ (ป.ป.ป.) ต่อมาพนักงานอัยการได้ฟ้องโจทก์กับพวกเป็นจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1255/2541 ของศาลชั้นต้น กล่าวหาว่าโจทก์นำที่ดินซึ่งเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกันมาขอออกเอกสารสิทธิ น.ส.3 ก. โดยที่ดินดังกล่าวไม่ใช่ที่ดินบางส่วนใน ส.ค.1 เลขที่ 45 โจทก์ไม่ได้ซื้อมา และไม่มีผู้ใดครอบครองทำประโยชน์ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานหมิ่นประมาทหรือไม่ เห็นว่า คำกล่าวของจำเลยที่ 1 เป็นการยืนยันข้อเท็จจริงว่าโจทก์เอาที่สาธารณประโยชน์ไปเป็นของตนเอง โดยจำเลยที่ 1 แสดงความคิดเห็นประกอบว่าโจทก์ผู้กระทำการดังกล่าวเป็นคนขี้โกง ทั้งนี้ ที่จำเลยที่ 1 กล่าวเช่นนั้น ก็โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนต่อต้านการกระทำที่จำเลยที่ 1 เห็นว่าไม่ถูกต้องตามกฎหมายมีความไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น เพื่อเรียกร้องเอาที่สาธารณประโยชน์ในตำบลที่จำเลยที่ 1 อยู่อาศัยคืน เพราะการที่โจทก์เสนอตัวต่อประชาชนให้เลือกตนเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลจนได้รับเลือกตั้ง เป็นการแสดงต่อประชาชนว่าตนเป็นคนดีมีความซื่อสัตย์สุจริต ประชาชนสามารถไว้วางใจให้โจทก์เข้าไปมีส่วนร่วมบริการกิจการขององค์การบริหารส่วนตำบลแทนประชาชนได้ แต่หากปรากฏว่าโจทก์โกงที่สาธารณประโยชน์เป็นของตนเอง โจทก์ย่อมไม่ใช่ผู้ที่มีความซื่อสัตย์สุจริต ประชาชนไม่ควรไว้วางใจให้โจทก์เข้าไปมีส่วนร่วมบริหารกิจการขององค์การบริหารส่วนตำบลแทนประชาชน เพราะโจทก์อาจทำเพื่อประโยชน์ของตนอย่างที่ประพฤติปฏิบัติมาแล้ว แทนที่จะทำเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม และการเรียกร้องเอาที่สาธารณประโยชน์คืนก็เพื่อประโยชน์ของประชาชนและจำเลยที่ 1 เองด้วย จำเลยที่ 1 จึงมีความชอบธรรมที่จะเปิดเผยให้ประชาชนทราบถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวเพื่อป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรมตลอดจนแสดงความคิดเห็นติชมด้วยความเป็นธรรม ซึ่งการกระทำดังกล่าวอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ และจากการเปิดเผยข้อเท็จจริงดังกล่าวของจำเลยที่ 1 มีผลให้พนักงานอัยการฟ้องโจทก์กับพวกกล่าวหาว่าโจทก์นำที่ดินซึ่งเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกันมาขอออกเอกสารสิทธิ น.ส.3 ก. แสดงว่าข้อความที่จำเลยที่ 1 กล่าวนั้นมีมูลความจริง มิใช่เป็นการเสกสรรปั้นแต่งเรื่องขึ้นใส่ร้ายโจทก์โดยไม่มีมูลความจริง การแสดงข้อความและความคิดเห็นของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการกระทำโดยสุจริต และเมื่อความเชื่อของจำเลยที่ 1 ดังกล่าว เป็นการเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่าโจทก์ได้เอาที่สาธารณประโยชน์มาเป็นของโจทก์จริง โดยมิได้มีเจตนาจะกลั่นแกล้งใส่ร้ายโจทก์ และเป็นการเชื่อโดยมีมูลอันควรเชื่อว่าเป็นความจริง การกล่าวข้อความของจำเลยที่ 1 ก็เป็นการกระทำโดยสุจริตแล้ว กรณีไม่จำเป็นจะต้องให้โจทก์ถูกดำเนินคดีอาญาหรือต้องคำพิพากษาว่ากระทำความผิดเสียก่อนจึงจะกล่าวได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 ไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 (1) (3) นั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share