คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2341/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยส่งของให้โจทก์ไม่ถูกต้องตามสัญญา โจทก์จึงใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและริบหลักประกันอันเป็นการใช้สิทธิตามข้อสัญญา โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกค่าปรับรายวันจากจำเลยได้อีก
สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยข้อหนึ่งกำหนดว่า ถ้าผู้ซื้อจัดซื้อสิ่งของภายในกำหนด3 เดือน นับแต่วันบอกเลิกสัญญา ผู้ขายต้องยอมรับผิดชดใช้ราคาที่เพิ่มขึ้นจากราคาที่กำหนดไว้ในสัญญาเมื่อจำเลยผิดสัญญาโจทก์ผู้ซื้อได้บอกเลิกสัญญา ประกาศประกวดราคาใหม่ และประกาศผลการประกวดราคาภายในกำหนด 3 เดือนแล้ว แม้สัญญาซื้อขายจะกระทำกันเมื่อเกินกำหนด 3 เดือนก็เป็นผลสืบเนื่องมาจากการจัดซื้อภายในกำหนด 3 เดือน โจทก์จึงมีสิทธิเรียกราคาเพิ่มขึ้นจากจำเลยได้
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายเนื่องจากจำเลยผิดสัญญาไม่ส่งมอบของให้โจทก์ถูกต้องและเรียกเบี้ยปรับตามสัญญา เป็นกรณีที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะจึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 มีอายุความ 10 ปี
การที่จำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดของห้างจำเลยที่ 1สอดเข้าไปจัดการงานของห้างจำเลยที่ 1 โดยกระทำตนเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ทำให้บุคคลภายนอกเข้าใจว่าจำเลยที่ 4 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการและเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดของห้างจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 4 จึงต้องร่วมรับผิดในบรรดาหนี้สินของห้างจำเลยที่ 1 โดยไม่จำกัดจำนวน
จำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดของห้างจำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดร่วมกันในบรรดาหนี้ของห้างจำเลยที่ 1 โดยไม่จำกัดจำนวน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลเดิมมีจำเลยที่ ๓ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการต่อมามีจำเลยที่ ๒ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการแทน จำเลยที่ ๔ เป็นหุ้นส่วนจำกัดความรับผิด เมื่อวันที่๑๑ กันยายน ๒๕๒๓ โจทก์ทำสัญญาซื้อหัวเจาะเพชรกับจำเลยที่ ๑ จำนวน ๖ รายการ ผู้ขายต้องส่งตัวเจาะเกินจากที่กำหนดในรายการที่ ๕ อีก ๑ หัว เพื่อทดสอบโดยวิธีสุ่มตัวอย่างส่งไปทดสอบรายละเอียดของหัวเจาะและเนื้อโลหะที่ประเทศออสเตรเลีย ผลของการทดสอบจะต้องส่งจากสำนักงานทดสอบมายังประธานกรรมการตรวจรับโดยตรง ๑ ฉบับ เมื่อถูกต้องแล้วคณะกรรมการตรวจรับจึงจะลงนามตรวจรับของ หากไม่ถูกต้องโดยมีคุณภาพต่ำกว่า ผู้ซื้อสงวนสิทธิที่จะไม่รับของทั้งหมด ผู้ขายจะต้องส่งมอบสิ่งของที่ซื้อขายให้แก่ผู้ซื้อภายในวันที่ ๑๐ ธันวาคม๒๕๒๓ ให้ถูกต้องและครบถ้วนตามที่กำหนดไว้ในสัญญา ถ้าสิ่งของที่ผู้ขายส่งมอบไม่ตรงตามสัญญาผู้ซื้อมีสิทธิที่จะไม่รับของนั้น ในวันทำสัญญาผู้ขายนำหนังสือค้ำประกันของธนาคารภารตโอเวอร์ซีส์จำกัด จำนวนเงิน ๓๗,๘๐๐ บาท มามอบเป็นประกัน ปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ ไม่ส่งมอบสิ่งของที่ขายให้โจทก์ภายในวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๒๓ แต่กลับส่งมอบในวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๒๓ โจทก์จึงสุ่มตัวอย่างโดยส่งหัวเจาะจำนวน ๑ หัว ไปทดสอบที่ประเทศออสเตรเลีย ต่อมาโจทก์ได้รับหนังสือแจ้งผลการทดสอบว่า หัวเจาะเพชรดังกล่าวมีรายละเอียดถูกต้องตามสัญญาเว้นแต่คุณภาพของเพชรต่ำกว่า (เกรด) WA – ๑ ไม่ถูกต้องตามความต้องการของโจทก์ในสาระสำคัญ โจทก์จึงมีหนังสือแจ้งให้จำเลยที่ ๑ ทราบว่า ของที่ส่งมอบไม่ถูกต้องตามความต้องการของโจทก์ พร้อมกับแจ้งให้จำเลยที่ ๑ นำสิ่งของที่ถูกต้องตามสัญญามาส่งมอบให้โจทก์ จำเลยที่ ๑ มีหนังสือแจ้งว่ายอมรับผิดทุกประการ ขอให้โจทก์พิจารณารับหัวเจาะเพชรดังกล่าวไว้โดยจำเลยที่ ๑ ยอมลดราคาลงอีก ๒๘,๐๐๐ บาท ต่อมาวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๒๔ โจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยที่ ๑ ทราบว่าโจทก์ไม่สามารถรับหัวเจาะเพชรซึ่งมีคุณภาพต่ำกว่า (เกรด) WA – ๑ มาใช้ในงานราชการได้ขอให้จำเลยที่ ๑ นำหัวเจาะเพชรกลับคืนไป แล้วนำหัวเจาะเพชรที่ถูกต้องตามสัญญามาส่งมอบให้โจทก์ โดยโจทก์ขอสงวนสิทธิตามสัญญาทุกประการ ต่อมาจำเลยที่ ๑ มีหนังสือถึงโจทก์อีก ๓ ฉบับแจ้งว่า จำเลยที่ ๑ ประสบปัญหาขาดทุนขอให้โจทก์พิจารณารับของไว้ และขอให้โจทก์ทดลองทดสอบคุณภาพของหัวเจาะเพชรใหม่อีก และยอมรับว่าเป็นผู้ผิดสัญญา โจทก์เห็นว่าจำเลยที่ ๑ไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้ จึงมีหนังสือบอกเลิกสัญญาต่อจำเลยที่ ๑ ลงวันที่ ๒๖ เมษายน๒๕๒๔ ให้มีผลตั้งแต่วันที่จำเลยที่ ๑ ได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญา ซึ่งจำเลยที่ ๑ ได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญาเมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๒๕ และโจทก์ใช้สิทธิริบหลักประกันตามสัญญาเป็นเงิน ๓๗,๘๐๐ บาทเป็นของโจทก์ โจทก์มีความจำเป็นต้องใช้หัวเจาะเพชรตามสัญญา จึงทำการจัดซื้อหัวเจาะเพชรจำนวน ๖ รายการใหม่ โดยวิธีประกวดราคาซึ่งบริษัทซอยล์ เทสติ้ง สยามเอ็นจิเนียริ่งคอนซัลแตนท์จำกัด เป็นผู้ประกวดราคาได้ในราคา ๕๙๔,๖๘๐ บาท และได้ทำสัญญาซื้อขายเมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม๒๕๒๕ การที่จำเลยที่ ๑ ผิดสัญญาเป็นเหตุให้โจทก์ต้องจัดซื้อสิ่งของนั้นจากบุคคลอื่นในราคาสูงกว่าเดิมจำเลยที่ ๒ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการจะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ในหนี้ทั้งปวงโดยไม่จำกัดจำนวนจำเลยที่ ๓ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการในขณะที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาซื้อขายหัวเจาะเพชรกับโจทก์จำเลยที่ ๓ ออกจากการเป็นหุ้นส่วนยังไม่พ้นกำหนด ๒ ปี จึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑ ในบรรดาหนี้สินทั้งปวงที่จำเลยที่ ๑ ก่อให้เกิดขึ้นในขณะที่จำเลยที่ ๓ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ส่วนจำเลยที่ ๔ เป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิด แต่ยินยอมเอาชื่อของจำเลยที่ ๔ ไปเรียกขานระคนเป็นชื่อห้างของจำเลยที่ ๑ นอกจากนั้นจำเลยที่ ๔ ยังได้สอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงานของจำเลยที่ ๑ และได้แสดงออกให้ปรากฏต่อบุคคลทั่วไปว่า จำเลยที่ ๔ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการและเป็นผู้แทนของจำเลยที่ ๑ มีอำนาจเต็มที่จะจัดการงานแทนหรือในนามของจำเลยที่ ๑จำเลยที่ ๔ จึงต้องร่วมรับผิดในหนี้ทั้งปวงของจำเลยที่ ๑ โดยไม่จำกัดจำนวนเสมือนเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิด จำเลยทั้งสี่จึงต้องร่วมกันรับผิดชำระค่าปรับตามสัญญาเป็นรายวันในอัตราร้อยละ ๐.๒ ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้ส่งมอบทั้งหมด ๓๗๘,๐๐๐ บาท ตั้งแต่วันถัดจากวันครบกำหนดส่งมอบตามสัญญา คือวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๒๓ จนถึงวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๒๕ซึ่งเป็นวันเลิกสัญญาเป็นเวลา ๕๑๐ วัน คิดเป็นเงินค่าปรับ ๓๘๕,๕๖๐ บาท และต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ราคาของที่เพิ่มขึ้นจากราคาที่กำหนดไว้ในสัญญาเนื่องจากโจทก์ต้องจัดซื้อจากบุคคลอื่นภายในกำหนด ๓ เดือน นับแต่วันบอกเลิกสัญญาเป็นเงิน ๒๑๖,๖๘๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น๖๐๒,๒๔๐ บาท ซึ่งจำเลยทั้งสี่ต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ โจทก์มีหนังสือทวงถามไปยังจำเลยทั้งสี่ แต่จำเลยทั้งสี่เพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน ๖๐๒,๒๔๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ปฏิบัติตามสัญญาโดยส่งมอบของให้โจทก์ครบถ้วน และโจทก์รับมอบไว้โดยไม่อิดเอื้อน แต่โจทก์กลับเป็นฝ่ายผิดสัญญาอ้างว่าคุณภาพของเพชรต่ำกว่า (เกรด) WA – ๑ ตามที่กำหนดไว้ในสัญญาทั้งที่ตามสัญญาทุกข้อระบุคุณภาพของเพชรว่า “หรือเทียบเท่า” จำเลยที่ ๑ ส่งมอบหัวเจาะเพชรที่มีคุณสมบัติของเพชรเทียบเท่าระดับ WA – ๑ ให้โจทก์ถูกต้องแล้ว พร้อมใบกำกับสินค้าและหนังสือรับรองคุณภาพของเพชรว่ามีระดับ ดับเบิลยู เอ ๑ (เกรด WA – ๑) จากบริษัท โวลตัส จำกัด หนังสือรับรองของสมาคมการค้าและอุตสาหกรรมประเทศอินเดียและจากสถาบันยูเอส อาร์มี่ คอร์ป ออฟ เอ็นจิเนียส์ ซึ่งเป็นสถาบันที่ยอมรับกันทั่วโลกอีกด้วย จำเลยที่ ๑ ไม่เคยมีหนังสือยอมรับผิดหรือยอมลดราคาให้โจทก์แต่มีหนังสือถึงโจทก์เป็นการเสนอสละประโยชน์ของจำเลยที่ ๑ เพื่อประโยชน์แก่ทางราชการซึ่งโจทก์ตอบปฏิเสธ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔ รับผิดชดใช้ราคาที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากโจทก์ต้องซื้อจากบุคคลอื่น เพราะโจทก์ไม่ได้ซื้อของจากบุคคลอื่นภายในกำหนด๓ เดือน ตามสัญญา และไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔ ชำระค่าปรับ เพราะจำเลยที่ ๑ ส่งมอบสิ่งของครบถ้วนตามสัญญา และโจทก์รับมอบไว้แล้ว ทั้งโจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามสัญญาข้อ ๘ แล้ว จำเลยที่ ๒ เข้าดำเนินกิจการของจำเลยที่ ๑ หลังจากโจทก์บอกเลิกสัญญากับจำเลยที่ ๑ แล้ว และทำกิจการในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ ๑ ถือเป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิดในฐานะส่วนตัว ส่วนจำเลยที่ ๔ เป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิด รับมอบอำนาจทั่วไปกระทำการแทนจำเลยที่ ๑ ได้ จำเลยที่ ๔ ไม่เคยสอดเข้าไปจัดกิจการของจำเลยที่ ๑ ไม่เคยแสดงให้บุคคลภายนอกเข้าใจว่าจำเลยที่ ๔ เป็นเจ้าของกิจการของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๔ ไม่เคยใช้ชื่อของจำเลยที่ ๑ แสดงต่อบุคคลภายนอกเพื่อแสวงหาประโยชน์ส่วนตัว และชื่อทางการค้าของจำเลยที่ ๑ ไม่เหมือนหรือคล้ายกับชื่อตัวของจำเลยที่ ๔ จำเลยที่ ๔ จัดกิจการต่าง ๆ แทนจำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้รับมอบอำนาจทั่วไปจากจำเลยที่ ๑ เพื่อผลประโยชน์ของจำเลยที่ ๑ ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ เพราะโจทก์ฟ้องโดยอ้างมูลหนี้ตามสัญญาซื้อขาย แต่โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อพ้นกำหนด ๒ ปี นับแต่วันที่โจทก์สามารถใช้สิทธิเรียกร้องมูลหนี้ตามสัญญาซื้อขายได้ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า ไม่เคยเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการหรือหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิดหรือมีส่วนร่วมใด ๆ ในห้างจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๓ ไม่เคยลงลายมือชื่อในหนังสือใด ๆให้แก่จำเลยที่ ๑ รวมทั้งหนังสือมอบอำนาจในนามของจำเลยที่ ๑ ให้จำเลยที่ ๔ ทำการแทนจำเลยที่ ๑ ตามสัญญาซื้อขายหัวเจาะเพชร ฝ่ายจำเลยที่ ๑ ได้ปฏิบัติตามสัญญาและส่งมอบของให้โจทก์ในปริมาณและคุณภาพถูกต้องตามสัญญา โจทก์คิดค่าปรับสูงกว่าที่โจทก์เสียหายจริง ขอให้พิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้เงินจำนวน ๔๗๘,๘๘๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๔ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ร่วมกันใช้เงินจำนวน๒๑๖,๖๘๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓จะชำระเสร็จแก่โจทก์ ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๔
โจทก์และจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามสัญญาข้อ ๘ ระบุว่าถ้าผู้ขายไม่ส่งมอบของที่ตกลงขายให้แก่ผู้ซื้อหรือส่งมอบสิ่งของทั้งหมดไม่ถูกต้องหรือส่งไม่ครบจำนวน ผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ในกรณีที่ผู้ซื้อใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา ผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อริบหลักประกันหรือเรียกร้องจากธนาคารผู้ออกหนังสือรับรองตามสัญญาข้อ ๗ ใช้เงินเป็นจำนวนทั้งหมดหรือบางส่วนก็ได้ แล้วแต่ผู้ซื้อจะเห็นสมควรและถ้าผู้ซื้อจัดซื้อสิ่งของภายใน ๓ เดือน นับแต่วันบอกเลิกสัญญา ผู้ขายต้องยอมรับผิดชดใช้ราคาที่เพิ่มขึ้นจากราคาที่กำหนดไว้ในสัญญานี้ ตามสัญญาข้อ ๙ ระบุว่า ในกรณีผู้ซื้อไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามข้อ ๘ ผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละ ศูนย์จุดสอง (๐.๒) ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบ นับแต่วันถัดจากวันครบกำหนดตามสัญญาจนถึงวันที่ผู้ขายได้นำสิ่งของมาส่งให้แก่ผู้ซื้อจนถูกต้องครบถ้วน ในระหว่างที่มีการปรับนั้น ถ้าผู้ซื้อเห็นว่าผู้ขายไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้ผู้ซื้อจะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา และริบหลักประกันหรือเรียกร้องจากธนาคารผู้ออกหนังสือค้ำประกันตามสัญญาข้อ ๗ กับเรียกร้องให้ชดใช้ราคาที่เพิ่มขึ้นจากราคาที่กำหนดไว้ในสัญญาข้อ ๘ วรรค ๒นอกเหนือจากการปรับจนถึงวันบอกเลิกสัญญาก็ได้ เห็นว่าตามสัญญาข้อ ๙ นี้ ให้โจทก์มีสิทธิเรียกค่าปรับได้ในกรณีที่โจทก์มิได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา แต่คดีนี้ได้ความว่า โจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและริบหลักประกันตามสัญญาข้อ ๘ แล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าปรับเป็นรายวันตามสัญญาข้อ ๙ได้อีก
โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ สอดเข้าไปจัดการงานของห้างจำเลยที่ ๑ อ้างเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ ๑ และยังยอมให้จำเลยที่ ๑ นำชื่อสกุลส่วนหนึ่งของจำเลยที่ ๔ไปขานระคนกับชื่อห้างจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๔ จึงต้องร่วมรับผิดตามฟ้องนั้น เห็นว่า หนังสือมอบอำนาจของจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๓ หุ้นส่วนผู้จัดการ ลงวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๒๓ ตามเอกสารหมาย จ.๒๓ ให้อำนาจจำเลยที่ ๔ เป็นตัวแทนกระทำการใด ๆ ได้ทั้งสิ้น การทำสัญญาซื้อขายกับโจทก์ลงวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๒๓ ตามเอกสารหมาย จ.๔ จำเลยที่ ๔ ลงชื่อในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ ๑ แต่หลังจากนั้นหนังสือที่ส่งไปถึงโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.๑๐, จ.๑๓,จ.๑๕ และ จ.๑๖ ลงชื่อจำเลยที่ ๔ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการทั้งสิ้น มิได้กระทำในฐานะตัวแทน เห็นว่าจำเลยที่ ๔ เป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิด สอดเข้าไปจัดการงานของห้างจำเลยที่ ๑โดยกระทำตนเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการทำให้บุคคลภายนอกเข้าใจว่าจำเลยที่ ๔ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการแล้ว และเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิด ฉะนั้น จำเลยที่ ๔ จึงต้องร่วมรับผิดในบรรดาหนี้สินของห้างจำเลยที่ ๑ โดยไม่จำกัดจำนวนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๐๘๘
จำเลยฎีกาว่า โจทก์มิได้จัดซื้อสิ่งของจากบุคคลอื่นภายในกำหนด ๓ เดือนนับแต่วันที่บอกเลิกสัญญา จำเลยที่ ๑ ไม่ต้องรับผิดชอบใช้ราคาที่เพิ่มขึ้นนั้น เห็นว่า ตามสัญญาข้อ ๘ เพียงแต่ระบุให้จัดซื้อภายใน ๓ เดือน นับแต่วันเลิกสัญญา มิได้กำหนดว่าต้องทำสัญญาซื้อขายภายใน ๓ เดือน จำเลยที่ ๑ ได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญาเมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๒๕ โจทก์ประกาศประกวดราคาเมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๒๕ และประกาศผลการประกวดราคาเมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม๒๕๒๕ ว่าตกลงซื้อหัวเจาะเพชรจำนวน ๖ รายการ เป็นเงิน ๕๙๔,๖๘๐ บาท จากบริษัท ซอยล์เทสติ้งสยาม เอ็นยิเนียริ่ง คอนซัลแตนท์ จำกัด ตามเอกสารหมาย จ.๑๙ แสดงว่าโจทก์ได้จัดซื้อและตกลงซื้อภายในกำหนด ๓ เดือนแล้ว แม้สัญญาซื้อขายจะกระทำเมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๒๕เลยกำหนด ๓ เดือนไปแล้ว ก็เป็นผลสืบเนื่องจากการจัดซื้อภายใน ๓ เดือน โจทก์มีสิทธิเรียกราคาที่เพิ่มจากจำเลยที่ ๑ ได้
จำเลยฎีกาว่า โจทก์ฟ้องบังคับตามสัญญาซื้อขายต้องฟ้องภายใน ๒ ปี นับแต่วันที่โจทก์สามารถใช้สิทธิเรียกร้องได้ ฟ้องโจทก์ขาดอายุความแล้วนั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายเนื่องจากจำเลยที่ ๑ ผิดสัญญาไม่ส่งมอบของให้โจทก์ให้ถูกต้อง และเรียกเบี้ยปรับตามสัญญา กรณีนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๔ มีอายุความ ๑๐ ปี โจทก์เลิกสัญญาเมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๒๕ และฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ ๔ มิถุนยายน ๒๕๒๗ ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ปัญหาว่าจำเลยที่ ๒ จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ หรือไม่นั้น เห็นว่า จำเลยที่ ๒ เป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิด ต้องรับผิดร่วมกันในบรรดาหนี้ของห้างจำเลยที่ ๑ ไม่มีจำกัดจำนวนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๐๗๗
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๔ ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share