แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทภายในระยะเวลาที่กำหนดในสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลได้มีคำพิพากษาบังคับตามยอมให้จำเลยซึ่งเป็นคู่ความแทนที่จำเลยในอีกคดีหนึ่ง โอนขายที่ดินพิพาทแก่ผู้ร้องซึ่งเป็นโจทก์คดีนั้น ทำให้การโอนที่ดินพิพาทไม่อาจกระทำได้ การที่ผู้ร้องไม่ชำระราคาที่ดินพิพาทภายในกำหนดเวลาดังกล่าวจึงถือไม่ได้ว่าผู้ร้องเป็นฝ่ายผิดสัญญา
เมื่อศาลได้พิพากษาให้คดีเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยโอนขายที่ดินพิพาทแก่ผู้ร้องแล้ว ผู้ร้องจึงมีสิทธิตามคำพิพากษาที่จะบังคับให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้ก่อนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1300 โจทก์จะบังคับคดียึดที่ดินพิพาทให้กระทบกระทั่งสิทธิของผู้ร้องอันอาจขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินนั้นไม่ได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 287
กรณียื่นคำร้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 287 ถือได้ว่าเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ เมื่อศาลชั้นต้นยกคำร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์ขอให้ไต่สวนคำร้องต่อไปและศาลอุทธรณ์พิพากษายืน แต่สั่งให้ผู้ร้องใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์เกินอัตราขั้นสูงในคดีไม่มีทุนทรัพย์จึงไม่ชอบ
ย่อยาว
คดีนี้เนื่องมาจากจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของนายไคล บัวพรหมมี ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำไว้กับโจทก์ โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างรวม ๖ รายการ ของจำเลยเพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ตามคำพิพากษา ต่อมาผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ถูกยึดอ้างว่าในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๕๕๓/๒๕๓๑ ของศาลชั้นต้น ระหว่างผู้ร้องซึ่งเป็นโจทก์ และนายไคล บัวพรหมมี โดยนายอนุวัฒน์ บัวพรหมมี เข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลย ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ผู้ร้องเป็นผู้ซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่โจทก์นำยึด ผู้ร้องย่อมอยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๐
โจทก์คัดค้านว่า การยึดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างได้ยึดไว้ก่อนที่ผู้ร้องกับนายอนุวัฒน์บัวพรหมมี จะได้ยอมความกันในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๕๕๓/๒๕๓๑ ของศาลชั้นต้น ข้อตกลงระหว่างผู้ร้องกับนายอนุวัฒน์ตามสัญญายอมในคดีดังกล่าวเป็นเพียงสัญญาจะซื้อขาย ผู้ร้องไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ถูกยึด ขอให้ยกคำร้อง
ก่อนมีการไต่สวนคำร้อง ศาลชั้นต้นได้สอบข้อเท็จจริงจากคู่ความตามคำร้องของโจทก์ที่ขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นฟังได้ว่าที่ดินที่โจทก์นำยึดยังเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย คดีไม่จำต้องสืบพยานต่อไปแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้ผู้ร้องใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ ๘,๐๐๐ บาท
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ความตามสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับลงวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๓๑ ซึ่งศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอมในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๕๕๓/๒๕๓๑ระหว่างผู้ร้องซึ่งเป็นโจทก์กับนายไคล บัวพรหมมี โดยนายอนุวัฒน์ บัวพรหมมี เข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยว่าจำเลยตกลงยอมโอนที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้ผู้ร้องภายใน ๗ วัน นับแต่วันที่ผู้ร้องชำระเงินค่าที่ดิน ผู้ร้องยอมนำเงินมาวางศาลเพื่อชำระค่าที่ดินให้จำเลยภายใน ๓ เดือน นับแต่วันทำสัญญาหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนา นอกจากนี้ผู้ร้องยังได้แถลงต่อศาลตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ลงวันที่ ๒๘มีนาคม ๒๕๓๒ ว่า ผู้ร้องยังมิได้ชำระเงินให้จำเลยตามสัญญาประนีประนอมยอมความ เพระจำเลยไม่อาจจะปฏิเสธตามสัญญาประนีประนอมยอมความได้ เนื่องจากโจทก์ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทไว้ก่อนแล้ว และผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งระงับการขายทอดตลาด และถอนการยึดที่ดินพิพาทเมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๓๑ และ ๑๓ มกราคม ๒๕๓๒ ซึ่งเป็นระยะเวลาภายในกำหนดเวลาในสัญญาประนีประนอมยอมความ ประกอบทั้งการปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความก็เป็นการชำระหนี้ตอบแทนซึ่งกันและกัน ดังนั้น เมื่อคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาคำร้องของผู้ร้องและคำคัดค้านของโจทก์ ทำให้การโอนที่ดินพิพาทตามสัญญาประนีประนอมยอมความไม่อาจกระทำได้การที่ผู้ร้องไม่วางเงินภายในกำหนดเวลาดังกล่าวจึงถือไม่ได้ว่าผู้ร้องเป็นฝ่ายผิดสัญญาดังที่ศาล-ล่างทั้งสองวินิจฉัย และเมื่อศาลได้พิพากษาให้คดีเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นแล้ว ผู้ร้องจึงมีสิทธิตามคำพิพากษาที่จะบังคับให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้ก่อนตามประมวล-กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๐ แม้ที่ดินพิพาทจะยังมีชื่อเป็นของจำเลยอยู่ และโจทก์ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทไว้ก่อนแล้วก็ตาม แต่โจทก์ก็จะบังคับคดียึดที่ดินพิพาทให้กระทบกระทั่งสิทธิของผู้ร้องอันอาจขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๓๐๐ แม้ที่ดินพิพาทจะยังมีชื่อเป็นของจำเลยอยู่ และโจทก์ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทไว้ก่อนแล้วก็ตาม แต่โจทก์ก็จะบังคับคดียึดที่ดินพิพาทให้กระทบกระทั่งสิทธิของผู้ร้องอันอาจขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินนั้นหาได้ไม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๘๗
สำหรับปัญหาตามฎีกาผู้ร้องประการต่อมาว่า คดีนี้เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ศาลอุทธรณ์ให้ผู้ร้องใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์๘,๐๐๐ บาทนั้น สูงเกินไป เห็นว่า กรณีตามคำร้องเป็นเรื่องที่ผู้ร้องยื่นคำร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๘๗ ย่อมถือได้ว่าเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ เมื่อศาลชั้นต้นยกคำร้องของผู้ร้อง และผู้ร้องอุทธรณ์ขอให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนคำร้องของผู้ร้องต่อไป การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนแต่สั่งให้ผู้ร้องใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ ๘,๐๐๐ บาท จึงเกินอัตราขั้นสูงในคดีไม่มีทุนทรัพย์ ตามตาราง ๖ อัตราค่าทนายความที่กำหนดไว้ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง คำสั่งดังกล่าวจึงไม่ชอบ
พิพากษากลับ ให้ถอนการยึดที่ดินพิพาท ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ.