คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4911/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อการจำนองที่ดินพิพาทระหว่าง ล.เจ้าของเดิมผู้จำนองกับจำเลยที่ 1ผู้รับจำนองไม่มีผลตามกฎหมายเสียแล้ว จำเลยที่ 1 ย่อมไม่มีอำนาจที่จะยึด น.ส.3 สำหรับที่ดินพิพาทไว้ได้ ต้องส่งมอบแก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทที่แท้จริง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดิน ตาม น.ส.๓ เลขที่ ๒๒๔/๑๘๕ตำบลบ่อใหญ่ อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม นายล้วน อันอาน บิดาโจทก์ซื้อมาจากนายลาดจำนงศรี โดยทำสัญญาซื้อขายกันเองและเข้าครอบครองที่ดินแปลงนี้ตลอดมา เมื่อบิดาโจทก์ถึงแก่กรรม โจทก์ได้เข้าครอบครองทำกินติดต่อตลอดมาไม่มีผู้ใดโต้แย้งสิทธิ หลังจากขายที่ดินให้บิดาโจทก์แล้ว นายลาดได้ลักลอบนำเอาที่ดินดังกล่าวไปออก น.ส.๓ แล้วมอบอำนาจให้จำเลยที่ ๒นำไปจดทะเบียนจำนองกับจำเลยที่ ๑ ต่อมานายลาดถึงแก่กรรม โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๒ และนางจำปาภรรยาจำเลยที่ ๒ ฐานผิดสัญญาซื้อขาย แสดงสิทธิครอบครอง ศาลจังหวัดมหาสารคามพิพากษาให้โจทก์ชนะ คดีถึงที่สุด ขอให้พิพากษาว่าที่ดินตาม น.ส.๓ เลขที่ ๒๒๔/๑๘๕ เป็นของโจทก์และเพิกถอนการจดทะเบียนจำนองระหว่างจำเลยทั้งสอง ให้จำเลยที่ ๑ จดทะเบียนถอนจำนองแล้วส่งมอบ น.ส.๓แก่โจทก์ หากจำเลยที่ ๑ ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ ๑ห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ได้จดทะเบียนรับจำนองที่ดิน น.ส.๓เลขที่ ๒๒๔/๑๘๕ ประกันหนี้จำเลยที่ ๒ โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน จำเลยที่ ๒ ยังไม่ชำระหนี้จำเลยที่ ๑ จึงมีสิทธิยึด น.ส.๓ ไว้ ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความ โจทก์เคยฟ้องจำเลยที่ ๒ เกี่ยวกับคดีนี้มาแลัว ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้ำ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนจำนองที่ดิน น.ส.๓เลขที่ ๒๒๔/๑๘๕ ตำบลบ่อใหญ่ อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม ระหว่างจำเลยทั้งสอง ให้จำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนถอนการจำนอง หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน และให้จำเลยที่ ๑ ส่งมอบ น.ส.๓ เลขที่ ๒๒๔/๑๘๕ แก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ต้องส่งมอบ น.ส.๓ เลขที่๒๒๔/๑๘๕ แก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่โจทก์และจำเลยที่ ๑ นำสืบรับกันว่าเดิมที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่ามีนายลาด จำนงศรี เป็นเจ้าของ เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๐ นายลาดได้ขายที่ดินพิพาทให้แก่นายล้วน อันอาน บิดาโจทก์ นายล้วนได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมา เมื่อนายล้วนตายที่ดินพิพาทตกเป็นของโจทก์ เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๕ นายลาดได้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยระบุว่า นายลาดเป็นเจ้าของตาม น.ส.๓ เอกสารหมายจ.๕ และนายลาดนำ น.ส.๓ ดังกล่าวไปจำนองกับจำเลยที่ ๑ เพื่อประกันหนี้ของจำเลยที่ ๒ข้อที่จะต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ฎีกามีว่า จำเลยที่ ๑ จะต้องส่งมอบ น.ส.๓ เลขที่ ๒๒๔/๑๘๕เอกสารหมาย จ.๕ ให้โจทก์หรือไม่ ศาลล่างทั้งสองศาลพิพากษาต้องกันว่า เมื่อนายลาดได้ขายที่ดินพิพาทให้บิดาโจทก์แล้ว นายลาดจึงไม่มีสิทธินำที่ดินพิพาทมาจำนองจำเลยที่ ๑ การจำนองไม่มีผลผูกพันตามกฎหมาย ซึ่งไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาในปัญหานี้ คดีฟังเป็นยุติว่า การจำนองที่ดินพิพาทระหว่างนายลาดกับจำเลยที่ ๑ ไม่มีผลตามกฎหมาย จำเลยที่ ๑ จึงไม่มีอำนาจที่จะยึด น.ส.๓เอกสารหมาย จ.๕ ไว้ได้ และ น.ส.๓ เอกสารหมาย จ.๕ นี้ เป็นเอกสารสำหรับที่ดินพิพาทจึงต้องส่งมอบแก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทที่แท้จริง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

Share