แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญาประนีประนอมยอมความมีความว่า  จำเลยจะผ่อนชำระเงินให้โจทก์เป็นงวด ๆ ละ 3 เดือน  โดยให้จำเลยชำระงวดที่สองนับแต่วันที่ชำระงวดแรก  ปรากฏว่าจำเลยได้ชำระเงินงวดแรกในวันที่ 20 สิงหาคม 2512  จำเลยจึงต้องชำระเงินงวดที่สองให้โจทก์ในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2512  และชำระเงินงวดที่สามในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2513  เมื่อจำเลยไม่ชำระเงินตามเวลาดังกล่าว  ก็ต้องถือว่าจำเลยผิดสัญญา
สัญญาประนีประนอมยอมความมีความต่อไปว่า  ถ้าจำเลยผิดนัดชำระเงินตั้งแต่งวดที่สอง  สองงวดติดกัน  ให้โจทก์ริบเอาที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นกรรมสิทธิ์ของโจกท์ได้ทันที  และจำเลยต้องไปโอนใน 3 วัน  ถ้าไม่ไปก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย  เช่นนี้  เห็นได้ว่า  กำหนดเวลาที่จำเลยจะต้องโอนที่ดินดังกล่าวได้ล่วงพ้นมาตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2513  จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดนัดผิดสัญญาตามสัญญาประนีประนอมยอมความในข้อนี้อีกด้วย  เมื่อศาลฎีกาไม่อนุญาตให้จำเลยทุเลาการบังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว  ศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินโอนที่ดินให้แก่โจทก์ได้  หาใช่จะต้องมาเริ่มนับเวลาชำระหนี้กันใหม่ตั้งแต่วันถัดจากวันที่จำเลยฟังคำสั่งของศาลฎีกาที่ไม่อนุญาตให้จำเลยทุเลาการบังคับไม่  เพราะการให้ทุเลาการบังคับ  เป็นเรื่องรอการบังคับไว้จนกว่าศาลจะพิพากษา   เป็นคนละเรื่องกันกับกำหนดเวลาชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลได้มีคำพิพากษาและมีคำบังคับตามยอมแล้ว
ย่อยาว
คดีนี้  โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน  ศาลพิพากษาตามยอม  และมีคำสั่งบังคับตามยอมแล้ว
(ก)  วันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๑๒  จำเลยยื่นคำร้องว่าโจทก์ทำการก่อสร้างไม่ถูกต้องเรียบร้อยตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ (๑) ถึง (๑๓)  ขอให้ศาลออกหมายเรียกโจทก์กับกรรมการตรวจงานมาไต่สวน  และขอให้ศาลไปเผชิญสืบอาคารที่ก่อสร้าง
(ข)  วันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๑๓  จำเลยยื่นคำร้องว่า  จำเลยได้วางเงินตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ ๖ วรรคแรก  ขอให้ศาลมีคำสั่งว่าจำเลยยังไม่มีหน้าที่จะต้องปฏิบัติการชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ ๖ วรรคสอง
(ค)  วันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๑๓  จำเลยยื่นคำร้องว่า  โจทก์ไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ ๑ (๑๔)  ให้ครบถ้วน  ขอให้เรียกโจทก์มารสอบถามและบังคับโจทก์
(ง)  วันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๑๖  โจทก์ยื่นคำร้องว่า  ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์  ให้จำเลยฟังตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๑๕  นับถึงวันนี้เกินกว่า ๖ เดือน และศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งศาลฎีกาที่ไม่อนุญาตให้จำเลยทุเลาการบังคับให้จำเลยฟังตั้งแต่วันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๑๖  จำเลยยังไม่ชำระเงินให้โจทก์  ถือว่าจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ ๖  วรรคสอง  ขอให้ศาลสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดิน  สำนักงานที่ดินกรุงเทพฯ  จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ ๖๗๗๙ , ๖๗๘๐  ให้แก่โจทก์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งคำร้องข้อ (ก)  และ (ข)  ว่า  ให้ยกคำร้องข้อ (ค)  ว่าให้รอการสั่งคำร้องของจำเลยไว้จนกว่าจะทราบผลคำพิพากษาศาลฎีกาในปัญหาว่า  โจทก์ทำการก่อสร้างถูกต้องเรียบร้อยตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ (๑) ถึง (๑๓) หรือไม่  ข้อ (ง) ว่าให้เจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดที่ ๖๗๗๙, ๖๗๘๐  พร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นในปัญหาตามคำร้อง ข้อ (ก)  (ข)  (ค)  (ง)  และขอทุเลาการบังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ ๖ วรรคสอง
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า  ให้รอการปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ ๖ ไว้ชั่วคราว  จนกว่าศาลอุทธรณ์จะพิพากษาอุทธรณ์คำสั่งของจำเลย  และพิพากษาในปัญหาข้อ (ก)  ว่าให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้น  ให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนคำร้องแล้วมีคำสั่งใหม่  ข้อ (ข) ว่าเมื่อบัดนี้ศาลฎีกาได้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์  ให้ยกคำร้องข้อ (ก)  ของจำเลยแล้วข้ออ้างของจำเลยย่อมตกไป  และไม่มีเหตุอื่นใดที่ศาลอุทธรณ์จะสั่งตามคำร้องของจำเลยได้  พิพากษายืน ข้อ (ค) ว่า  ศาลฎีกาได้พิพากษาในปัญหาตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ ๑ (๑) ถึง (๑๓)  ตามคำร้องข้อ (ก)  ของจำเลยแล้ว  จึงพ้นเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดรอการสั่งคำร้อง ไม่ต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลย  ให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ ข้อ (ง)  ว่า  ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วยกับคำสั่งศาลชั้นต้น  พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อ (ก)  ศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์  ให้ยกคำร้องของจำเลย  ปัญหาในข้อ (ก)  จึงยุติไปแล้ว
จำเลยฎีกาในปัญหาข้อ (ข)  (ค)  (ง)
ปัญหาข้อ (ข)  ศาลฎีกาเห็นว่า  ศาลฎีกาได้วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ได้ทำผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ ๑ (๑๔)  ดังจะได้กล่าวไว้ในปัญหาข้อ (ค) ที่ถัดไป  เมื่อสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ ๖ วรรคสอง  ตอนแรก  มีว่าจำเลยจะผ่อนชำระเงินที่เหลืออีก ๓,๙๔๐,๐๐๐ บาทให้โจทก์เป็นงวด ๆ งวดละ ๓ เดือน  เป็นเงินงวดละ ๓๐๐,๐๐๐ บาท  โดยให้จำเลยชำระงวดที่สอง  นับแต่วันที่ได้ชำระงวดแรก  และปรากฏว่าจำเลยได้ชำระเงินงวดแรก ๓๐๐,๐๐๐  บาท ในวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๑๒  จำเลยก็ต้องชำระเงินงวดที่สองให้โจทก์ในวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๑๒  เมื่อจำเลยไม่ชำระ  และไม่ชำระเงินงวดที่สามในวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๓  ก็ต้องถือว่าจำเลยผิดสัญญาข้อ ๖  วรรคสอง  มาตั้งแต่วันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๑๒ เป็นต้นมา
ปัญหาข้อ (ค)  ศาลฎีกาฟังว่า  โจทก์ได้ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ ๑ (๑๔) แล้ว
ปัญหาข้อ (ง)  ศาลฎีกาเห็นว่า  เมื่อศาลฎีกาได้พิพากษายกคำร้องของจำเลยในข้อ (ก)  ก็ฟังได้ว่าโจทก์ได้ทำการก่อสร้างถูกต้องเรียบร้อยตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ ๑ (๑)  ถึง (๑๓)  ตั้งแต่วันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๑๒  จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ ๖  จำเลยวางเงิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท  ตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ ๖ วรรคแรก  ในวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๑๒  เมื่อไม่ชำระงวดที่สองและงวดต่อ ๆ ไปตามกำหนดเวลาที่กล่าวในคำวินิจฉัยปัญหาข้อ (ข)  ก็ฟังได้ว่าจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ ๖ วรรคสอง  ตอนแรกแล้ว  สัญญาประนีประนอมยอมความข้อ ๖ วรรคสอง ตอนหลัง มีว่า  ถ้าจำเลยผิดนัดชำระเงินตั้งแต่งวดที่สอง  สองงวดติดกัน  ให้โจทก์ริบเอาที่ดินโฉนดที่ ๖๗๗๙, ๖๗๘๐  พร้อมสิ่งปลูกสร้างที่ได้จำนองไว้กับโจทก์เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ได้ทันที  จำเลยต้องไปโอนใน ๓ วัน  ถ้าไม่ไปก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย  เช่นนี้  เห็นได้ว่ากำหนดเวลาที่จำเลยจะต้องปฏิบัติชำระหนี้ในเรื่องที่จะต้องโอนที่ดินโฉนดดังกล่าวได้ล่วงพ้นมาตั้งแต่วันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๓  จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดนัด  ผิดสัญญาตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ ๖ วรรคสอง ตอนหลังด้วย  เมื่อศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งของศาลฎีกาที่ไม่อนุญาตให้จำเลยทุเลาการบังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ ๖ ในวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๑๖  ศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะสั่งในวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๑๖  ให้เจ้าพนักงานที่ดินโอนที่ดินตามสัญญาข้อ ๖  วรรคสอง ตอนหลังให้แก่โจทก์ได้  หาใช่จะต้องมาเริ่มนับเวลาชำระหนี้กันใหม่ตั้งแต่วันถัดจากวันที่จำเลยฟังคำสั่งของศาลฎีกาที่ไม่อนุญาตให้จำเลยทุเลาการบังคับดังฎีกาของจำเลยไม่  เพราะการให้ทุเลาการบังคับเป็นเรื่องรอการบังคับไว้จนกว่าศาลจะพิพากษา  เป็นคนละเรื่องกันกับกำหนดเวลาชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลได้มีคำพิพากษาและมีคำบังคับตามยอมแล้ว
พิพากษายืน

