แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลพิพากษาตามยอมให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้ให้โจทก์แล้ว ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องว่า บัดนี้ พนักงานสอบสวนได้ดำเนินการฟ้องร้องโจทก์ในข้อหาเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา ทำหลักฐานเท็จ และหลีกเลี่ยงภาษีอากรแล้ว ขอให้สั่งงดการบังคับคดีไว้ รอฟังผลคดีอาญา ดังนี้ ข้ออ้างของจำเลยไม่เข้ากรณีที่จะร้องขอให้งดการบังคับคดีได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 293 ทั้งไม่มีเหตุสมควรให้งดการบังคับคดี
ย่อยาว
กรณีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้และได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความยอมชำระหนี้รวม ๖๑,๓๙๐ บาท  ให้แก่โจทก์โดยผ่อนชำระเป็นรายเดือน  ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม  แล้วจำเลยผิดนัดไม่ชำระ  โจทก์ขอบังคับคดีและกองบังคับคดีแพ่งได้อายัดเงินค่าจ้างบางส่วนของจำเลยจากการรถไฟแห่งประเทศไทย  คดีอยู่ระหว่างการบังคับคดี
วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๑๗  จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่า  จำเลยได้ยื่นคำร้องต่อประธานคณะกรรมการ ก.ส.ส. ส่วนกลาง  สำนักนายกรัฐมนตรี  ขอให้ผ่อนผันการบังคับคดี  และประธานคณะกรรมการ ก.ส.ส. ได้มีหนังสือถึงอธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่ง  ขอให้รอการบังคับคดีลูกหนี้ของโจทก์ไว้ชั่วคราวเพื่อรอฟังผลคดีอาญา   ซึ่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งได้สั่งว่า  เมื่อผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีร้องขอ  ก็จะใช้ดุลพินิจสั่งตามสมควรแก่รูปคดี  บัดนี้  พนักงานสอบสวนได้ดำเนินการฟ้องร้องโจทก์ในข้อหาเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา  ทำหลักฐานเท็จ  และหลีกเลี่ยงภาษีอากรแล้ว   จึงขอให้สั่งงดการบังคับคดีไว้รอฟังผลคดีอาญา
ศาลชั้นต้นสั่งงดการบังคับคดีไว้ตามคำร้องขอของจำเลย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น  ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการบังคับคดีต่อไป
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า  เหตุตามข้ออ้างของจำเลยไม่เข้ากรณีที่จะร้องขอให้งดการบังคับคดีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๙๓  กรณีเป็นคนละเรื่องกันดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไว้  ทั้งไม่มีเหตุสมควรให้งดการบังคับคดี
พิพากษายืน

