คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 364/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้บังอาจกระทำความผิดจ่อกฎหมายหลายกรรมต่างกันคือจำเลยบังอาจร่วมกันมีเฮโรอีนนไฮโดรคอลไรด์และจำเลยบังอาจร่วมกันขายเฮโรอีนไฮโดรคอลไรด์ จำเลยให้การรับสารภาพว่าได้กระทำความผิดจริงตามฟ้องทุกประการโจทก์นำพยานเข้าสืบประกอบคำรับสารภาพของจำเลยว่า นอกจากเอโรอีนของกลางบรรจุซองพลาสติกซึ่งพลตำรวจ จ. ปลอมตัวไปซื้อแล้ว ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจยังค้นได้ธนบัตร ฉบับละ 10 บาท 2 ฉบับใช้ห่อเอโรอีนไว้ 2 ห่อจากจำเลยอีก ดังนี้การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ต้องลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ซึ่งแก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 พ.ศ. 2514 ข้อ 2

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2518 เวลากลางวัน จำเลยได้บังอาจกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ

(ก) จำเลยได้บังอาจร่วมกันมีเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์บรรจุหลอดพลาสติก2 หลอด ห่อด้วยธนบัตรฉบับละ 10 บาท 2 ห่อ และบรรจุถุงพลาสติก 1 ถุงรวมทั้งสิ้นหนัก 0.26 กรัม ซึ่งเป็นเกลือของเฮโรอีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษซึ่งต้องห้ามเด็ดขาดไว้ในความครอบครองของจำเลย

(ข) จำเลยได้บังอาจร่วมกันขายเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์อันเป็นยาเสพติดให้โทษ ซึ่งจำเลยมีไว้ในความครอบครองของจำเลยดังกล่าวให้แก่ผู้มีชื่อ 1 ถุงพลาสติก ราคา 10 บาท

ทั้งนี้โดยจำเลยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยเฮโรอีน เงิน 62 บาท หลอดพลาสติกเปล่าขนาดเล็ก 7 หลอด ซองพลาสติกเปล่าขนาดเล็ก 10 ซอง ซองพลาสติกเปล่าขนาดยาว 30 ซอง ซึ่งเป็นของได้มาและมีไว้เพื่อใช้กระทำผิดเป็นของกลาง ก่อนคดีนี้จำเลยที่ 1 เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก 6 เดือน ฐานมียาเสพติดให้โทษโดยไม่ได้รับอนุญาตและได้กระทำความผิดคดีนี้ขึ้นอีกภายใน 5 ปีนับแต่วันพ้นโทษในคดีก่อน ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2465 มาตรา 4, 4 ทวิ, 14, 20 ทวิ, 20 ตรี, 26, 29 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2502มาตรา 8 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2504 มาตรา 3, 4,6, 7, 12 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และริบของกลาง

จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2465 มาตรา 4 ทวิ, 14, 20 ทวิ, 20 ตรี พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2504 มาตรา 4, 6, 7 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 วางโทษจำเลยที่ 1 ฐานมียาเสพติดให้โทษตามมาตรา 20 ตรี จำคุก 1 ปี และวางโทษฐานจำหน่ายยาเสพติดให้โทษตามมาตรา 20 ทวิ จำคุก 5 ปี เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 26 อีกกึ่งหนึ่ง เป็นจำคุกไว้รวม 9 ปี จำเลยที่ 2 อายุ 18 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้ 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 แล้ว วางโทษจำเลยที่ 2 ฐานมียาเสพติดให้โทษตามมาตรา 20 ตรี จำคุก 8 เดือน ฐานจำหน่ายยาเสพติดให้โทษตามมาตรา 20 ทวิ จำคุก 3 ปี 4 เดือน รวมจำคุก จำเลยที่ 2 ไว้ 4 ปีจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ 4 ปี 6 เดือน จำคุก จำเลยที่ 2 ไว้ 2 ปี ของกลางริบ

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2465 มาตรา 20 ทวิ พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ(ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2504 มาตรา 6 ซึ่งเป็นบทหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 จำคุกจำเลยที่ 1 กำหนด 5 ปี เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 อีกกึ่งหนึ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2465 มาตรา 26 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2502 มาตรา 8 จำคุกจำเลยที่ 1 กำหนด 7 ปี 6 เดือน จำเลยที่ 2 อายุ 18 ปี ลดมาตราส่วนโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 76 หนึ่งในสามแล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 2 กำหนด 3 ปี 4 เดือน จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 3 ปี 9 เดือน จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด1 ปี 8 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้บังอาจกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน คือจำเลยบังอาจร่วมกันมีเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์(ข้อ 1 (ก)) และจำเลยบังอาจร่วมกันขายเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ (ข้อ 1(ข))จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพว่าได้กระทำผิดจริงตามฟ้องของโจทก์ทุกประการโจทก์นำพยานเข้าสืบประกอบคำรับสารภาพของจำเลยว่า นอกจากเฮโรอีนของกลางบรรจุซองพลาสติกซึ่งพลตำรวจจำลอง เหลืองประชาภรณ์ปลอมตัวไปซื้อแล้ว ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจยังค้นได้ธนบัตรฉบับละ 10 บาท 2 ฉบับใช้ห่อเฮโรอีนไว้ 2 ห่อจากจำเลยอีก เห็นได้โดยชัดว่าการกระทำผิดของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ต้องลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ซึ่งได้แก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 2 ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share