คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2126/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้โจทก์จะเป็นตัวแทนขายรถของบริษัทอื่น และเดิมรถพิพาทป็นของบริษัทนั้น แต่เมื่อโจทก์ได้ขายรถพิพาทให้จำเลยในนามของโจทก์เอง ทั้งโจทก์ก็ได้ชำระราคารถพิพาทให้บริษัทนั้นแล้วก่อนฟ้องคดีนี้ และบริษัทนั้นก็ได้โอนทะเบียนรถพิพาทให้โจทก์หลังจากโจทก์ขายรถพิพาทให้จำเลย โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้อง
เมื่อจำเลยซื้อรถของโจทก์ไป และยังชำระราคารถไม่หมด จำเลยย่อมมีหน้าที่ชำระราคาที่ค้างจนหมด จะโต้แย้งว่าห้างโจทก์ไม่มีวัตถุประสงค์จำหน่ายรถยนต์ ไม่มีอำนาจฟ้องไม่ได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยซื้อรถพิพาทไปจากโจทก์ในราคาเท่าใด ต่อมาเปลี่ยนแปลงสัญญากันอย่างใด จำเลยชำระแล้วเท่าใด ค้างเท่าใด ท้งยังอ้างคำพิพากษาของศาลอื่นซึ่งวินิจฉัยว่าจำเลยนี้เป็นตัวแทนของโจทก์ และพิพากษายังคับให้โจทก์โอนทะเบียนรถพิพาทให้ผู้อื่น ซึ่งโจทก์ได้โอนไปแล้วตามคำพิพากษาดังกล่าว จึงให้จำเลรับผิดชำระเงินที่ค้างต่อโจทก์ตามสัญญา และในฐานะตัวแทนพึงปฏิบัติต่อตัวการด้วย คำฟ้องดังกล่าวย่อมเป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 แล้ว จึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของรถพิพาท โดยได้รับโอนมาจากบริษัทสหไทยไฟแนนซ์ จำกัด วันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๑๒ จำเลยได้ซื้อรถพิพาทไปจากโจทก์โดยทำสัญญาซื้อขายแบบเงินผ่อน จำเลยรับรถยนต์ไปแล้วไม่ผ่อนส่งเงินให้โจทก์ตามสัญญา ต่อมาจำเลยตกลงกับโจทก์ขอชำระราคารถเป็นเงินสดโดยจ่ายเช็คให้โจทก์ ๒ ฉบับ เมื่อเช็คฉบับหลังถึงกำหนด โจทก์นำไปขึ้นเงิน ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์จำเลยจึงตกลงกันใหม่ คิดราคาแบบผ่อนส่งเช่นเดิม แล้วจำเลยค้างชำระค่ารถอีก เมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ โจทก์ถูกนายสงวน เจษฎาจินต์ ฟ้องเป็นจำเลยร่วมกับจำเลยคดีนี้ ให้โอนทะเบียนรถดังกล่าวให้ ศาลพิพากษาว่าจำเลยคดีนี้เป็นตัวแทนของโจทก์ บังคับให้โจทก์โอนทะเบียนรถดังกล่าวให้นายสงวน เจษฎาจินต์ โจทก์ได้โอนทะเบียนรถให้ตามคำพิพากษาของศาลแล้ว จำเลยจึงต้องนำเงินที่ได้รับชำระจากนายสงวน เจษฎาจินต์ ๑๗,๐๐๐ บาท มาชำระให้โจทก์ในฐานะตัวแทนพึงปฏิบัติต่อตัวการ โจทก์ทวงถาม จำเลยอ้างว่าได้ชำระแล้ว จึงขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า เป็นตัวแทนโจทก์ ได้ขายรถพิพาทให้นายสงวน เจษฎาจินต์ ในราคา ๔๐,๐๐๐ บาท แบบเงินผ่อน สัญญาทำกันระหว่างนายสงวนผู้เช่าซื้อ และบริษัทสหไฟแนนซ์ จำกัด ผู้ให้เช่าซื้อ จำเลยนำเงินที่นายสงวนชำระมอบให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว ขณะที่โจทก์มอบรถพิพาทให้จำเลย โจทก์เป็นเพียงตัวแทนของบริษัทสหไทยไฟแนนซ์ จำกัด จึงไม่มีอำนาจฟ้อง และฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โดยไม่รู้ว่าโจทก์จะให้จำเลยรับผิดในฐานะตัวแทนหรือผู้ซื้อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ค่ารถยนต์ที่ค้างพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า แม้โจทก์จะเป็นตัวแทนขายรถของบริษัทสหไทยไแนนซ์ จำกัด และเดิมรถพิพาทจะเป็นของบริษัทดังกล่าวก็ดี แต่เมื่อฟังได้ว่าโจทก์ได้ขายรถพิพาทให้จำเลยในนามของตนเอง ทั้งโจทก์ก็ได้ชำระราคาค่ารถพิพาทให้บริษัทสหไทยไฟแนนซ์ จำกัด ได้ครบถ้วนแล้วภายหลังที่โจทก์ขายให้จำเลย และบริษัทสหไทยไฟแนนซ์ก็ได้โอนทะเบียนรถพิพาทให้โจทก์ก่อนฟ้องคดีนี้ โจทก์จึงเป็นเจ้าของรถพิพาทโดยสมบูรณ์และมีอำนาจฟ้อง
ปัญหาที่ว่า ห้างโจทก์ไม่มีวัตถุประสงค์ในการจำหน่ายรถยนต์ การจำหน่ายรถยนต์พิพาทจึงนอกเหนือวัตถุประสงค์ โดยไม่มีอำนาจฟ้อง นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อรถยนต์เป็นของโจทก์ จำเลยได้ซื้อรถยนต์ของโจทก์ไป ยังชำระราคาไม่หมด จำเลยมีหน้าที่ต้องชำระราคาที่ค้างจนครบ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้ซื้อรถพิพาทไปจากดจทก์ในราคาเท่าใดต่อมาตกลงเปลี่นแปลงสัญญากันอย่างไร จำเลยชำระแล้วเท่าใด คงค้างชำระเท่าใดทั้งยังกล่าวถึงคดีซึ่งพิพากษาว่าจำเลยเป็นตัวแทนของโจทก์ กับบังคับให้โจทก์โอนทะเบียนรถพิพาทให้นายสงวน เจษฎาจินต์ ซึ่งโจทก์ได้โดยให้ไปแล้ว จำเลยจึงต้องรับผิดชำระเงินที่ค้างชำระให้โจทก์ตามสัญญาและในฐานตัวแทนพึงปฏิบัติต่อตัวการด้วย คำฟ้องเช่นนี้เป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๒ แล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
พิพากษายืน
(สนิท บริรักษ์ สัญชัย สัจจวานิช แผ้ว ศิวะบวร)

Share