คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 493/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์กับพวกได้รับอนุญาตให้ตัดฟันไม้ในป่าโดยโจทก์ได้ชำระค่าภาคหลวง จำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นป่าไม้เขต ได้ออกตรวจและตีตรายึดไม้ที่โจทก์กับพวกตัดไม้ รวมทั้งไม้ 1021 ท่อนที่จำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นนายอำเภอสั่งให้นายดวงสอนตรวจวัดไม้และตีตราเพื่อชำระค่าภาคหลวงให้โจทก์ ไม้จำนวน 1021 ท่อนนี้ถูกจำเลยที่ 5 ยึดไว้รวมกับไม้อื่น ๆ ที่โจทก์กับพวกตัดฟันและยังไม่ได้ตรวจตีตรา ไม้ 1021 ท่อนได้สูญหายไปหมดสิ้น ดังนี้ ถ้าจำเลยที่ 5 มิได้สั่งยึดไม้รายนี้ไว้ และไม้รายนี้มิได้สูญหายไปในระหว่างที่ถูกจำเลยที่ 5 ผู้เป็นเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ยึดไว้แล้ว การทำไม้ก็เป็นอันสมบูรณ์ แต่ไม้รายนี้ได้ทำถูกต้องตามกฎหมายแล้ว แต่จำเลยที่ 5 ได้มีคำสั่งให้ยึดไว้รวมกับไม้รายอื่นที่โจทก์ทำผิดแล้วไม่ถอนคืนให้โจทก์ ต่อมาไม้ได้สูญหายไปในระหว่างถูกจำเลยที่ 5 สั่งยึดและการสูญหายก็อยู่ในความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ด้วย ดังนี้ จะถือว่าการทำได้สมบูรณ์แล้วหาได้ไม่ การทำไม้รายนี้เป็นการทำโดยถูกต้องตามกฎหมายแล้ว แต่โจทก์ไม่ได้ไม้ไป จำเลยจึงไม่มีอำนาจเอาเงินค่าภาคหลวงของโจทก์ไว้ โดยที่มิใช่เรื่องละเมิด จำเลยที่ 1 ผู้เดียวจึงต้องคืนเงินค่าภาคหลวงที่เก็บไปแล้วแก่โจทก์ ส่วนจำเลยที่ 2 – 5 ไม่ต้องรับผิด

ย่อยาว

คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่าโจทก์กับพวกได้รับอนุญาตให้ตัดฟันไม้กระยาเลยในป่า โจทก์ได้ชำระค่าภาคหลวงล่วงหน้าไปแล้วจำนวน ๙๖๐ บาท โจทก์และนายชุ่ม แสนโคตรได้ตัดฟันไม้ตามใบอนุญาตนั้นแล้ว ได้ไม้รวม ๓๘๐๔ ท่อน โจทก์ได้นำเงินมัดจำเพื่อให้เจ้าพนักงานตีตราคำนวณค่าภาคหลวงจำนวน ๓๐,๐๐๐ บาท ไปวางที่นายอำเภอเชียงดาว นายอำเภอเชียงดาวได้สั่งให้นายดวงสอน มหากัญชา ตรวจวัดไม้และตรีตราเพื่อชำระค่าภาคหลวงไว้ให้โจทก์ได้จำนวน ๑๐๒๑ ท่อน ก็พอดีจำเลยที่ ๕ ซึ่งขณะนั้นเป็นป่าไม้เขตจังหวัดเชียงใหม่ ได้ออกไปตรวจและตีตรายึดไม้ที่โจทก์และนายชุ่ม แสนโคตร ตัดไว้ทั้งหมดรวมทั้งไม้ ๑๐๒๑ ท่อนที่นายดวงสอนได้ตรวจวัดตีตราแล้วนั้นด้วย
ต่อมาโจทก์และนายชุ่ม แสนโคตร จึงถูกจับและสั่งฟ้องศาลจังหวัดเชียงใหม่ แต่ในการฟ้องหาได้ฟ้องโจทก์กับนายชุ่ม แสนโคตร เกี่ยวกับไม้ ๑๐๒๑ ท่อนที่ป่าไม้ อำเภอเชียงดาวได้ตรวจและตีตราค่าภาคหลวงแล้วแต่อย่างใดไม่ ศาลฎีกาได้พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ให้ลงโทษจำคุกโจทก์และนายชุ่ม โจทก์ได้ร้องต่อจำเลยที่ ๓ ขอคืนเงินมัดจำค่าภาคหลวงจำนวน ๓๐,๐๐๐ บาท และเงินค่าภาคหลวงล่วงหน้า ๙๖๐ บาท และค่าเสียหายเนื่องจากไม้ที่โจทก์ตัดฟันไว้ ๓๘๐๔ ท่อน ซึ่งจำเลยที่ ๕ เป็นผู้ทำการรักษาไว้ในระหว่างตีตรายึดได้ ผุพังไปถูกไฟป่าไหม้ และสูญหายไปจนหมดสิ้น ทั้งนี้ เพราะจำเลยไม่ปฏิบัติราชการให้เป็นไปตามกฎข้อบังคับและระเบียบแบบแผน ได้ปฏิบัติราชการด้วยความประมาทเลินเล่อ จำเลยจึงมีหน้าที่คืนเงินค่าภาคหลวงล่วงหน้า ๙๖๐ บาท เงินค่ามัดจำค่าภาคหลวง ๓๐,๐๐๐ บาทให้โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อไป นับแต่วันที่ ๒๔ เมษายน ๒๔๙๙ ซึ่งถือว่าจำเลยผิดนัดจนถึงวันฟ้อง แต่โจทก์ขอคิดเอาเพียง ๕ ปี เป็นเงิน ๑๑,๒๕๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๔๒,๒๑๐ บาท
จำเลยทั้งห้าให้การปฏิเสธ โจทก์กับพวกไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินค่าภาคหลวงล่วงหน้าที่ได้นำมาวางคืน
คู่ความรับกันว่าเงินมัดจำการตรวจตีตราไม้เก็บค่าภาคหลวง ๓๐,๐๐๐ บาท ที่โจทก์ชำระให้แก่เจ้าหน้าที่อำเภอเชียงดาวนั้นเป็นเงินมัดจำสำหรับให้ไปตรวจตีตราไม้ ไม้ที่ได้ตรวจตีตราเพื่อเรียกเก็บค่าภาคหลวงแล้วนั้นมีรวมทั้งหมด ๑๐๒๑ ท่อน ไม้จำนวนนี้ได้ถูกจำเลยที่ ๕ ผู้มีตำแหน่งป่าไม้เขตเชียงใหม่ยึดไว้ระหว่างวันที่ ๑๒ ถึง ๒๐ มกราคม ๒๔๙๙ รวมกับไม้อื่น ๆ ที่โจทก์และนายชุ่ม แสนโคตร ตัดฟันและยังไม่ได้ตรวจตีตรา ขณะนั้นไม้ ๑๐๒๑ ท่อนได้สูญหายไปหมดสิ้นแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินมัดจำการตรวจตีตราเพื่อเก็บค่าภาคหลวงตามส่วนไม้ของโจทก์จำนวน ๒,๔๕๐ บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ ๒๔ เมษายน ๒๔๙๙ เป็นต้นมา เป็นเวลา ๕ ปี และนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยชำระเงินค่าภาคหลวงล่วงหน้าจำนวน ๒๙๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๐๖ เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ด้วย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ถ้าจำเลยที่ ๕ มิได้สั่งยึดไม้รายนี้ไว้ และไม้รายนี้มิได้สูญหายไปในระหว่างที่ถูกจำเลยที่ ๕ ผู้เป็นเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ ยึดไว้แล้ว การทำไม้ก็เป็นอันสมบูรณ์ แต่ไม้รายนี้ได้ทำถูกต้องตามกฎหมายแล้ว แต่จำเลยที่ ๕ ได้มีคำสั่งให้ยึดไว้รวมกับไม้รายอื่นที่โจทก์ทำผิดแล้วไม่ถอนคืนให้โจทก์ ต่อมาไม้ได้สูญหายไปในระหว่างถูกจำเลยที่ ๕ สั่งยึด และการสูญหายก็อยู่ในความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ ด้วย ดังนี้ จะถือว่าการทำไม้สมบูรณ์แล้วหาได้ไม่ การทำไม้รายนี้เป็นการทำโดยถูกต้องตามกฎหมายแล้ว แต่โจทก์ไม่ได้ไม้ไป จำเลยจึงไม่มีอำนาจเอาเงินค่าภาคหลวงของโจทก์ไว้โดยที่มิใช่เป็นเรื่องละเมิด จำเลยที่ ๑ ผู้เดียวจึงต้องคืนเงินค่าภาคหลวงที่เก็บไปแล้วแก่โจทก์ ส่วนจำเลยที่ ๒ – ๕ ไม่ต้องรับผิด ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้ง ๕ รับผิดคืนเงินดังกล่าวให้โจทก์นั้นจึงยังไม่ชอบ ฎีกาของจำเลยที่ ๑ ฟังไม่ขึ้น
ศาลฎีกาจึงพิพากษาแก้ให้จำเลยที่ ๑ คืนเงินมัดจำการตรวจตีตราเพื่อเก็บค่าภาคหลวงจำนวน ๒,๔๕๐ บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ ๒๔ เมษายน ๒๔๙๙ เป็นต้นมา เป็นเวลา ๕ ปี และนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยที่ ๑ ชำระค่าภาคหลวงล่วงหน้าจำนวน ๒๙๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๐๖ เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ด้วย ยกฎีกาของจำเลยที่ ๑ เสีย ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒ – ๕

Share