คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1682/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อก่อนแยกโฉนดที่ดินกัน ที่ดินโฉนดที่ 7371 ของจำเลยกับโฉนดที่ 7372 ของโจทก์ และที่ดินโฉนดอื่น ๆ รวมอยู่ในที่ดินโฉนดที่ 3604 ซึ่งเดิมเป็นของโจทก์กับบุคคลอื่น ดังนั้น แม้โจทก์จะได้เดินในที่ดินซึ่งภายหลังออกเป็นโฉนดที่ 7371 มานานเท่าใด ก็เป็นการใช้สิทธิของเจ้าของกรรมสิทธิ์ มิใช่เป็นการใช้โดยปรปักษ์อันจะทำให้เกิดภารจำยอมโดยอายุความ
ที่ของโจทก์ตกอยู่ในที่ล้อมโดยรอบ มีความจำเป็นจะต้องมีทางออกสู่ทางสาธารณะ แต่ที่โจทก์เป็นที่ที่แบ่งแยกออกมาจากที่ดินโฉนดที่ 3604 โจทก์มีสิทธิจะเรียกร้องเอาทางเดินจากที่ดินแปลงที่ได้แบ่งแยก จะเอาทางเดินจากที่ดินแปลงอื่นหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้ากรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๙๓ กับโฉนดที่ ๗๓๗๑ โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่ ๗๓๗๒ ติดกับที่ดินของจำเลยดังกล่าว โจทก์เดินผ่านที่ดินจำเลยออกไปสู่ถนนสายไปวัดชมนิมิตรไปสู่ถนนใหญ่ตลอดมาโดยสงบและเปิดเผยมาเกิน ๑๐ ปี ย่อมได้ภารจำยอม และที่ดินโจทก์อยู่ในที่ล้อมของที่ดินแปลงอื่น ไม่มีทางออก จำเลยทำรั้วสังกะสีกั้นเขตที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๓๗๑ ของจำเลยและทำประตู ทำรั้วกั้นเขตที่ดินของจำเลยโฉนดเลขที่ ๒๙๓ ทำให้โจทก์ไม่สามารถเข้าออกสู่ถนนสายไปวัดชมนิมิตได้ ขอให้ศาลบังคับจำเลยให้รื้อและจดทะเบียนภารจำยอม ฯลฯ
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่เคยใช้เส้นทางเดินผ่านในที่ดินของจำเลยโฉนดเลขที่ ๗๓๗๑,๗๙๒๕ จนได้สิทธิภารจำยอม ทางเดินข้างโรงงานทำแก้วออกไปสู่ถนนวัดชนนิมิตเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๙๒๕ ซึ่งจำเลยแบ่งออกมาจากที่ดินโฉนดที่ ๗๓๘๓ อีกทีหนึ่งที่ดินโจทก์โฉนดเลขที่ ๗๓๗๒ มีทางอื่นออกสู่ทางสาธารณะได้ ที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๓๗๑,๗๓๗๒ ฯลฯ เดิมเป็นที่ดินแปลงเดียวกันรวมอยู่ในโฉนดเลขที่ ๓๖๐๔ แล้วแบ่งออกเป็นหลายแปลง นายประนมเจ้าของโฉนดเลขที่ ๗๓๗๑ ฯลฯ ได้โอนให้จำเลย ระหว่างที่โฉนดเลขที่ ๗๓๗๑,๗๓๗๒ ฯลฯ ยังไม่แบ่งแยก ยังรวมอยู่ในโฉนดเลขที่ ๓๖๐๕ ทางภารจำยอมเกิดขึ้นไม่ได้ และนับแต่แบ่งแยกออกมาเป็นคนละเจ้าของถึงวันฟ้องก็เป็นเวลาเพียง ๓ ปีเศษ โจทก์อ้างอายุความได้สิทธิภารจำยอมไม่ได้ ฯลฯ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ที่ดินโจทก์ตกอยู่ในที่ล้อม ที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๓๗๑ จึงเป็นทางจำเป็นและทางกว้าง ๓ เมตรก็พอสมควร ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๙๒๕ ซึ่งขณะนี้เป็นถนนทั้งโฉนด โจทก์ได้ใช้เดินมากว่า ๑๐ ปี ย่อมตกอยู่ในภารจำยอม พิพากษาให้จำเลยรื้อรั้วและสิ่งกีดขวางเปิดทางให้โจทก์เดินเข้าออกสู่ถนนไปวัดชมนิมิตรได้ คือกว้าง ๓ เมตร จากหลักเขตใต้สุดทางทิศตะวันออกขึ้นไปทางทิศเหนือ และยาวไปทางทิศตะวันตก ๙ เมตรของโฉนดที่ดินเลขที่ ๗๓๗๑ ของจำเลย และให้จำเลยเปิดที่ดินโฉนดที่ ๗๙๒๕ ของจำเลยให้โจทก์เดินเข้าออกได้ทั้งโฉนด ให้จำเลยไปจดทะเบียนภารจำยอมที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๙๒๕ เป็นทางเดินเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๓๗๒ ของโจทก์ให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ปัญหามีว่าที่พิพาทที่โจทก์ฟ้องเป็นภารจำยอมที่โจทก์ได้มาโดยอายุความหรือไม่ ปรากฏว่าสำหรับที่พิพาทส่วนที่อยู่ในโฉนดที่ ๗๓๗๑ นั้น โจทก์ก็รับอยู่แล้วว่าเดิมโจทก์ นายประนม นางสวน ปกครองที่ดินร่วมกัน มิได้แยกปกครองเป็นสัดส่วน เพิ่งได้แบ่งแยกโฉนดกันเป็นส่วนสัดเมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๐๕ นี้เอง ดังนั้น เมื่อก่อนแยกโฉนดที่ดินกัน ที่ดินโฉนดที่ ๗๓๗๑ กับที่ดินโฉนดที่ ๗๓๗๒ และที่ดินโฉนดอื่น ๆ ในที่ดินตามโฉนดที่ ๓๖๐๔ เดิมก็คงเป็นของโจทก์นายประนม นางสวนร่วมกันมาทุกส่วน แม้โจทก์จะได้เดินในที่ดินซึ่งภายหลังได้ออกเป็นโฉนดที่ ๗๓๗๑ มานานเท่าใด ก็เป็นการใช้สิทธิของเจ้าของกรรมสิทธิ์นั้นเอง หาใช่เป็นการใช้โดยปรปักษ์อันจะทำให้เกิดภารจำยอมโดยอายุความไม่ ส่วนหลังจากได้แบ่งแยกโฉนดแล้ว ก็นับถึงวันฟ้องยังไม่ถึง ๑๐ ปี แม้โจทก์จะเดินผ่านก็ยังไม่ได้ภารจำยอมโดยอายุความอยู่นั่นเอง ที่พิพาทเฉพาะส่วนที่อยู่ในโฉนดที่ ๗๓๗๑ จึงหาใช่ภารจำยอมของโจทก์ไม่
ส่วนที่พิพาทโฉนดที่ดิน ๗๙๒๕ ของจำเลยนั้น ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ไม่เคยใช้เดิน แม้ภายหลังจำเลยจะได้ถมดินทำถนนขึ้นแล้ว โจทก์ได้มาใช้เดินบ้างก็ไม่ทำให้โจทก์ได้ภารจำยอมเพราะยังไม่ถึง ๑๐ ปี จริงอยู่ขณะนี้ที่ของโจทก์ตกอยู่ในที่ล้อมโดยรอบ โจทก์มีความจำเป็นจะต้องมีทางออกสู่ทางสาธารณะ ที่ของโจทก์เป็นที่ ๆ แบ่งแยกออกมาจากที่ดินโฉนดที่ ๓๖๐๔ ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๕๐ โจทก์มีสิทธิจะเรียกร้องเอาทางเดินจากที่ดินแปลงที่ได้แบ่งแยกได้ โจทก์จะเอาทางเดินจากที่ดินแปลงอื่นหาได้ไม่
พิพากษายืน

Share