คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 267/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การนับเวลาราชการสำหรับคำนวณบำเหน็จบำนาญต้องนับแต่วันรับราชการรับเงินเดือนจากเงินงบประมาณประเภทเงินเดือน ซึ่งมิใช่อัตราข้าราชการวิสามัญหรือลูกจ้างตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2494 มาตรา 23
ระหว่างวันที่ 25 เมษายน 2477 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2479 โจทก์เป็นข้าราชการวิสามัญ ต่อมาโจทก์ได้รับแต่งตั้งให้เป็นข้าราชการสามัญเมื่อ พ.ศ. 2480 โดยเจ้ากระทรวงเห็นสมควรบรรจุในชั้นนั้นเข้าอันดับเงินเดือนเท่าที่ได้รับอยู่ โดยได้รับอนุมัติของก.พ. แล้ว ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2479 มาตรา 74 จึงเห็นได้ว่าการยกฐานะหรือเปลี่ยนฐานะของโจทก์เป็นไปโดยคำสั่งของเจ้ากระทรวงซึ่งเห็นสมควรบรรจุ หาใช่เป็นไปโดยกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะไม่ จึงไม่ชอบที่จะนับระยะเวลาระหว่างที่เป็นข้าราชการวิสามัญดังกล่าวเป็นเวลาราชการสำหรับคำนวณบำเหน็จบำนาญตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2494 มาตรา 23 วรรค 2

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์รับราชการในตำแหน่งนักการ ระหว่างพ.ศ. ๒๔๗๓ ถึงพ.ศ. ๒๔๗๙ รวม ๗ ปี รัฐบาลประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๔๗๖ มีบทบัญญัติแบ่งข้าราชการเป็นสามัญและวิสามัญ นักการศาลเป็นข้าราชการวิสามัญ ต่อมาได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๔๗๙ ยกเลิกพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๔๗๖ โดยพระราชบัญญัตินี้โจทก์ได้รับยกฐานะหรือ เปลี่ยนฐานะหรือเลื่อนฐานะเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๘๐ เป็นต้นมา ครั้งสุดท้ายได้เลื่อนเป็นชั้นตรี ตำแหน่งรองจ่าศาล ได้รับเงินเดือน ๑,๒๐๐ บาท ครบเกษียณ พ.ศ. ๒๕๐๒ รวมเวลารับราชการ ๓๑ ปี ๓ เดือน ๗ วัน ได้ยื่นแบบ ส.เพื่อขอรับบำนาญจากจำเลย จำเลยตัดวันรับราชการออกเหลือเพียง ๒๘ ปี ๔ เดือน คิดเป็นเงินบำนาญที่โจทก์ได้รับ ๖๗๒ บาท ถ้าจำเลยไม่ตัดออก ๓ ปี โจทก์จะได้บำนาญเพิ่มอีกเดือนละ ๗๒ บาท ขอให้พิพากษาให้จำเลยใช้เงินบำนาญค้างจ่ายเป็นเงิน ๔,๒๔๘ บาท กับดอกเบี้ยให้จำเลยเพิ่มเงินบำนาญให้โจทก์เดือน ๗๒ บาท ฯลฯ
จำเลยให้การว่าระยะเวลาระหว่างวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๔๗๗ ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๔๗๙ โจทก์รับเงินเดือนในอัตราข้าราชการวิสามัญ จึงนับเป็นเวลาราชการสำหรับคำนวณบำเหน็จบำนาญไม่ได้ ฯลฯ
ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า การนับเวลาราชการสำหรับคำนวณบำเหน็จบำนาญนั้น ต้องนับแต่วันรับราชการรับเงินเดือนจากเงินงบประมาณประเภทเงินเดือน ซึ่งมิใช่อัตราข้าราชการวิสามัญหรือลูกจ้าง ทั้งนี้ ตามมาตรา ๒๓ แห่งพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๔๙๔ ในคดีนี้ปรากฏว่าระหว่างวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๔๗๗ ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๔๗๙ นั้น โจทก์เป็นข้าราชการวิสามัญ ฉะนั้น จึงไม่อาจนับระยะเวลาดังกล่าวนี้สำหรับคำนวณบำเหน็จบำนาญตามกฎหมาย ดังยกขึ้นกล่าวนั้นได้
ตามมาตรา ๒๓ วรรค ๒ แห่งพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๔๙๔ ซึ่งบัญญัติให้ข้าราชการวิสามัญที่ได้มีบทบัญญัติของกฎหมายให้ยกฐานะหรือให้เปลี่ยนฐานะเป็นข้าราชการที่มีสิทธิรับบำเหน้จบำนาญตามมาตรา ๗ ได้ และให้นับเวลาระหว่างที่เป็นข้าราชการวิสามัญที่ติดต่อกับวันที่ได้มีการยกฐานะหรือการเปลี่ยนฐานะนั้น เป็นเวลาราชการสำหรับคำนวณบำเหน็จบำนาญได้ด้วย ในคดีนี้ปรากฏว่า โจทก์ได้รับแต่งตั้งให้เป็นข้าราชการสามัญ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๐ โดยเจ้ากระทรวงเห็นสมควรบรรจุในชั้นนั้นเข้าอันดับเงินเดือนเท่าที่ได้รับอยู่โดยได้รับอนุมัติของก.พ. แล้ว ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๔๗๙ มาตรา ๗๔ จึงเห็นได้ว่า การยกฐานะหรือเปลี่ยนฐานะของโจทก์นั้น เป็นไปโดยคำสั่งของเจ้ากระทรวงซึ่งเห็นสมควรบรรจุ หาใช่เป็นไปโดยกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะไม่ จึงไม่ชอบที่จะนับระยะเวลาระหว่างที่เป็นข้าราชการวิสามัญดังกล่าวนี้เป็นเวลาราชการสำหรับคำนวณบำเหน็จบำนาญ
พิพากษายืน

Share