แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ร้องเช่าที่ดินซึ่งจำเลยมีกรรมสิทธิ์ร่วมกับ ส. ต่อมาได้แบ่งแยกที่ดิน ที่ดินส่วนที่ผู้ร้องเช่าตกได้แก่ ส.แล้ว ส. ได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนนี้ให้แก่โจทก์ โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินส่วนของโจทก์ จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลพิพากษาขับไล่จำเลย โจทก์จึงขอให้บังคับผู้ร้องออกจากที่ดินนั้นในฐานะบริวารของจำเลย ดังนี้ เมื่อสัญญาเช่าระหว่างผู้ร้องกับจำเลยยังใช้บังคับได้อยู่ สัญญานี้ต้องผูกพัน ส. ผู้เป็นเจ้าของรวม แม้ ส. โอนกรรมสิทธิ์ส่วนของตนให้โจทก์ โจทก์ย่อมต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของ ส. ผู้โอนซึ่งมีต่อผู้ร้องตามสัญญาเช่านั้นด้วย ผู้ร้องจึงไม่อยู่ในฐานะบริวารของจำเลย (อ้างฎีกาที่ 90/2507)
ย่อยาว
เดิมโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวาร
ผู้ร้องอ้างว่าไม่ได้เป็นบริวารของจำเลย เข้าอยู่ในที่ดินโดยเช่าจากจำเลย โจทก์ต้องรับโอนไปทั้งสิทธิและหน้าที่
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ที่ดินที่ผู้ร้องเช่ามีจำเลยกับนายเสนเป็นเจ้าของร่วมกัน จำเลยมีอำนาจให้เช่าได้ แม้ต่อมาแบ่งแยกโฉนด ที่ดินที่ผู้ร้องเช่าอยู่ในเขตโฉนดของนายเสน นายเสนโอนให้โจทก์ โจทก์ย่อมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ ผู้ร้องไม่ใช่บริวาร
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า สัญญาเช่าเป็นบุคคลสิทธิผูกพันเฉพาะจำเลยกับผู้ร้องไม่ผูกพันนายเสน เพราะนายเสนไม่ได้ยินยอมด้วย ถือว่าผู้ร้องเป็นบริวารจำเลย พิพากษากลับให้ผู้ร้องปฏิบัติตามคำบังคับ
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า การที่นายสอนจำเลยเจ้าของรวมให้ผู้ร้องเช่าที่ดินตามเอกสารหมาย ร. ๑ ถึง ร. ๗ นั้น ย่อมมีสิทธิทำได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๕๘ ที่ผู้ร้องเข้าปลูกเรือนอยู่อาศัย ก็โดยอาศัยสิทธิของสัญญาเช่าดังกล่าว แม้ภายหลังจะมีการแยกโฉนดและเรือนของผู้ร้องทั้ง ๗ จะอยู่ในเขตโฉนดซึ่งเป็นของนายเสนก็ตาม นายเสนก็ต้องผูกพันโดยสัญญาเช่านั้นด้วย เพราะเป็นเจ้าของรวมกันจำต้องรับผิดชอบร่วมกันด้วย ผู้ร้องทั้ง ๗ ได้เข้าปลูกเรือนอยู่อาศัยในที่ ๆ ตนเช่าตลอดมา ย่อมแสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แก่นายเสน และโจทก์ว่าผู้ร้องทั้ง ๗ ได้ ปลูกเรือนอยู่อาศัยในที่ ๆ แยกโฉนดมาเป็นของนายเสน ครั้นเมื่อสายเสนโอนขายที่ดินโฉนดที่ ๔๗๙๒ ให้โจทก์ โจทก์ย่อมทราบดีกว่าผู้ร้องทั้ง ๗ ปลูกเรือนอยู่ในที่นายเสน ที่นายเสนโอนขายให้โจทก์ไป สัญญาเช่าดังกล่าวก็ยังคงอยู่หาได้ระงับไปด้วยไม่ โจทก์ต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ตามสัญญานั้นด้วย (เทียบตามแบบอย่างคำพิพากษาฎีกาที่ ๙๐/๒๕๐๗ ระหว่างสิบตำรวจเอกเสรี รอดประชา โจทก์นายพยอม กาญจนลักษณ์ จำเลย) ที่ศาลอุทธรณ์ยกเหตุว่า การเช่าเป็นบุคคลสิทธิก็ย่อมผูกพันเฉพาะจำเลยกับผู้ร้องซึ่งเป็นคู่สัญญาเช่ากัน หาผูกพันนายเสนเจ้าของรวมไม่ เพราะนายเสนมิได้ให้ความยินยอมด้วย สัญญาเช่าจึงไม่ผูกพันโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า การที่ผู้ร้องทั้ง ๗ เช่าที่จากนายสอนจำเลยและปลูกเรือนอยู่ถึง ๗ ห้องตั้งแต่ปี ๒๕๐๔ จนปี ๒๕๐๕ จึงแบ่งแยกโฉนดและจ่ายให้โจทก์ปี ๒๕๐๗ ในระหว่างนั้นนายเสนก็มิได้โต้แย้งอื่นใดเลย แสดงว่านายเสนได้รู้เห็นด้วยตลอดมา สัญญาเช่าย่อมผูกพันนายเสนและโจทก์ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดมาชอบแล้ว ฎีกาผู้ร้องทั้ง ๗ ฟังขึ้น
พิพากษากลับ บังคับคดีตามศาลชั้นต้น