คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 212/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลพิพากษาให้ส่งตัวจำเลยซึ่งมีอายุ 15 ปีไปสถานฝึกและอบรมจนกว่าจะมีอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ ต่อมาบิดาจำเลยร้องขอรับจำเลยไปดูแลเอง โดยยอมปฏิบัติตามเงื่อนไขต่าง ๆ ที่ศาลจะกำหนด ถือได้ว่าเป็นกรณีที่พฤติการณ์เกี่ยวกับคำสั่งเดิมเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ศาลมีอำนาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขคำสั่งเดิมได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 74 วรรคท้าย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยลักทรัพย์ จำเลยรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ แต่จำเลยอายุ ๑๕ ปี ไม่สมควรลงโทษจำคุกให้ส่งตัวไปสถานฝึกและอบรมจนกว่าจะมีอายุครบ ๑๘ ปีบริบูรณ์
ต่อมานายสุวรรณ ใหม่โสภา บิดาจำเลยร้องขอรับจำเลยไปไว้ในความปกครองเพื่ออบรมให้เป็นคนดีต่อไป ศาลชั้นต้นเห็นว่าได้พิพากษาคดีเสร็จไปแล้ว ไม่มีอำนาจแก้ไขได้ให้ยกคำร้อง
นายสุวรรณอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้มอบตัวจำเลยแก่บิดา ให้บิดาระวังมิให้จำเลยก่อเหตุร้ายเป็นเวลา ๓ ปี ถ้าผิดข้อกำหนด ให้ผู้ร้องชำระเงินต่อศาลครั้งละ ๑,๐๐๐ บาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๔ (๒)
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ได้พิเคราะห์ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๔, ๗๕ โดยตลอดแล้ว เห็นว่าเป็นกรณีที่กฎหมายให้อำนาจศาลที่จะสั่งเปลี่ยนแปลงคำสั่งหรือเงื่อนไขตามคำสั่งที่มีอยู่เดิมได้ตามที่เห็นสมควร โดยคำนึงถึงคุณประโยชน์อันจะเกิดขึ้นแก่จำเลยซึ่งมีอายุไม่เกิน ๑๗ ปี และประโยชน์ของสังคมเป็นสำคัญ ในเมื่อมีพฤติการณ์เกี่ยวกับคำสั่งเดิมได้เปลี่ยนแปลงไป หาใช่มีอำนาจสั่งเปลี่ยนคำสั่งเดิมแต่เฉพาะกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงในพฤติการณ์ที่เกี่ยวกับคำสั่งเดิมที่ไม่เป็นการสมควรหรือไม่อาจปฏิบัติตามได้ต่อไปโดยตรงดังที่โจทก์ฎีกามา และสำหรับคดีนี้ การที่ต่อมาบิดาจำเลยได้มาขอรับตัวจำเลยไปดูแลเอง ทั้งยอมปฏิบัติตามเงื่อนไขต่าง ๆ ตามที่ศาลจะกำหนดขึ้นอีกด้วย แทนการส่งจำเลยไปสถานฝึกและอบรมตามคำพิพากษาที่มีอยู่เดิมนั้น ย่อมเป็นกรณีที่มีพฤติการณ์เกี่ยวกับคำสั่งเดิมได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้
พิพากษายืน

Share