แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องเรียกเงินคืนที่โจทก์บรรยายข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหามาแล้วว่า เมื่อเดือนมกราคม และกุมภาพันธ์ 2511 ก่อนพนักงานอัยการยื่นฟ้องบุตรโจทก์ต่อศาล จำเลยได้เรียกเอาเงินโจทก์ไป 2 คราว ๆ ละ 500 บาท โดยจำเลยรับจะช่วยบุตรโจทก์ให้พ้นโทษ โดยจะหาทนายสู้คดีหรือช่วยด้วยวิธีอื่นให้บุตรโจทก์ถูกปล่อย โจทก์หลงเชื่อจึงมอบเงินให้จำเลยไป เมื่อบุตรโจทก์ถูกฟ้องศาล จำเลยไม่ช่วยเหลืออย่างใด กลับบอกให้บุตรโจทก์รับสารภาพโดยบอกว่าอายุยังไม่ถึง 20 ปี ศาลไม่ลงโทษ เป็นเหตุให้บุตรโจทก์หลงเชื่อรับสารภาพ ดังนี้ ไม่จำเป็นต้องระบุว่าจำเลยเรียกเอาเงินจากโจทก์ที่ไหน จำเลยก็เข้าใจฟ้องได้ดีแล้ว เป็นฟ้องไม่เคลือบคลุมและไม่ใช่เป็นฟ้องที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน เพราะไม่ใช่ให้เงินแก่จำเลยเพื่อช่วยเหลือโดยวิธีที่ผิดกฎหมาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า  บุตรโจทก์ถูกจับในข้อหาลักทรัพย์  จำเลยเป็นผู้ติดตามขอประกันตัวบุตรโจทก์ในระหว่างสอบสวนถึงพนักงานอัยการตลอดมา  ในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ ๒๕๑๑  ก่อนพนักงานอัยการจังหวัดชัยภูมิยื่นฟ้องบุตรโจทก์  จำเลยได้เรียกร้องเอาเงินจากโจทก์ไป ๒ คราว ๆ ละ ๕๐๐ บาท  โดยสัญญาว่าจำเลยจะช่วยเหลือบุตรโจทก์ให้พ้นโทษ  โดยรับจะหาทนายความสู้คดีหรือช่วยโดยวิธีอื่นให้บุตรโจทก์ถูกปล่อย  ถ้าบุตรโจทก์ได้รับโทษจำคุก  จำเลยจะคืนเงิน ๑,๐๐๐ บาทให้โจทก์  โจทก์หลงเชื่อจึงมอบเงินให้จำเลยไปทั้ง ๒ คราว  ต่อมาพนักงานอัยการยื่นฟ้องบุตรโจทก์ต่อศาล  จำเลยมิได้ช่วยเหลืออย่างไร  กลับพูดจาให้บุตรโจทก์รับสารภาพโดยบอกว่าอายุยังไม่ถึง ๒๐ ปีศาลไม่ลงโทษ  บุตรโจทก์หลงเชื่อจึงรับสารภาพ  ศาลพิพากษาลงโทษจำคุก  โจทก์จึงขอเงินคืนจากจำเลย  จำเลยผัดแล้วไม่คืนให้  จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยคืนเงิน ๑,๐๐๐ บาทให้โจทก์
จำเลยให้การว่าไม่เคยสัญญากับโจทก์ดังฟ้อง  ไม่เคยรับเงินทั้ง ๒ คราวจากโจทก์  มูลคดีที่โจทก์อ้างในฟ้องขัดต่อกฎหมายและความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน  ทั้งเป็นฟ้องเคลือบคลุมเพราะมิได้กล่าวว่าจำเลยรับเงินจากโจทก์วันเวลาและสถานที่ใด  ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า  ฟ้องไม่เคลือบคลุม  และมูลคดีไม่ขัดต่อกฎหมายหรือความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน  การกระทำของจำเลยเป็นการหลอกลวงโจทก์  พิพากษาให้จำเลยใช้คืนเงิน ๑,๐๐๐ บาทให้โจทก์
จำเลยอุทธรณ์โดยผู้พิพากษาศาลชั้นต้นผู้นั่งพิจารณารับรองให้อุทธรณ์ข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา  ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเฉพาะข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยฎีกาข้อฟ้องเคลือบคลุมเพราะมิได้ระบุว่าจำเลยเรียกเอาเงินในชั้นสอบสวนหรือชั้นพนักงานอัยการหรือก่อนนั้น  และเรียกเอาครั้งเดียวหรือครั้งละเท่าใด  เมื่อใด  ที่ไหน  เห็นว่าตามฟ้องระบุแล้วว่า  เมื่อเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ ๒๕๑๑  ก่อนพนักงานอัยการยื่นฟ้องบุตรโจทก์ต่อศาล  จำเลยได้เรียกเอาเงินจากโจทก์ไป ๒ คราว  ๆ ละ ๕๐๐ บาท  ไม่จำเป็นต้องระบุว่าเรียกเอาเงินจากโจทก์ที่ไหน  จำเลยก็เข้าใจฟ้องได้ดีแล้ว  ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
ข้อฎีกาว่า  มูลคดีของโจทก์ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน  ศาลฎีกาเห็นว่า  โจทก์กล่าวหาจำเลยว่าจำเลยรับจะช่วยบุตรโจทก์ให้พ้นโทษ  โดยจะหาทนายสู้คดีหรือช่วยด้วยวิธีอื่นให้บุตรโจทก์ถูกปล่อย  โจทก์หลงเชื่อจึงมอบเงินให้จำเลยไป  เมื่อบุตรโจทก์ถูกฟ้องศาล  จำเลยไม่ช่วยเหลืออย่างใด  กลับพูดจาให้บุตรโจทก์รับสารภาพโดยบอกว่าอายุยังไม่ถึง ๒๐ ปี  ศาลไม่ลงโทษ  เป็นเหตุให้บุตรโจทก์หลงเชื่อจึงรับสารภาพ  ดังนี้  ไม่ใช่เป็นฟ้องที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีอย่างไร  เพราะไม่ใช่ให้เงินแก่จำเลยเพื่อช่วยบุตรโจทก์โดยวิธีที่ผิดกฎหมาย
พิพากษายืน

