คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7837/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้จำเลยจะเป็นเจ้าพนักงานตำรวจมีอำนาจหน้าที่ในการจับกุมผู้กระทำผิด แต่เป็นผู้ร่วมกระทำผิดด้วย การร่วมเล่นการพนันไพ่รัมมี่แล้วจำเลยไม่จับกุมผู้ร่วมเล่นไพ่รัมมี่นั้น ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบโดยมีเจตนาพิเศษเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ร่วมเล่นการพนันหรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตาม ป.อ. มาตรา 157
จำเลยได้ใช้กำลังประทุษร้ายและใช้อาวุธปืนข่มขืนใจให้ผู้เสียหายเสพเมทแอมเฟตามีนโดยวิธีสูดรับเอาควันเข้าสู่ร่างกาย การกระทำดังกล่าวของจำเลยเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 309 วรรคสอง และ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 93 วรรคท้าย เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้อง โจทก์คงอุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยเฉพาะความผิดตาม ป.อ. มาตรา 309 วรรคสอง เท่านั้น การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 93 วรรคท้าย อันเป็นบทหนักตาม ป.อ. มาตรา 90 เป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 212 และศาลฎีกาไม่อาจพิพากษาลงโทษจำเลยตามมาตรา 93 วรรคท้าย แห่ง พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ได้เช่นกัน คงพิพากษาลงโทษจำเลยได้เพียงความผิดตาม ป.อ. มาตรา 309 วรรคสอง
ในสำนวนแรก ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 8 เดือน ในสำนวนที่สองศาลฎีกาลงโทษจำเลยในความผิดฐานใช้กำลังประทุษร้ายข่มขืนใจผู้อื่นโดยใช้อาวุธปืน ซึ่งเป็น ความผิดหลายกรรมต่างกันและศาลต้องลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตาม ป.อ. มาตรา 91 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า เมื่อศาลชั้นต้นรวมการพิจารณาคดีทั้งสองเข้าด้วยกันแล้วไม่อาจนับโทษต่อกันได้เพราะ คดีทั้งสองสำนวนได้รวมการพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน ซึ่งไม่ถูกต้อง แต่โจทก์ไม่ฎีกาในปัญหาดังกล่าว ศาลฎีกาจึง ไม่อาจพิพากษาให้นำโทษฐานเสพเมทแอมเฟตามีนมานับโทษต่อกันตามที่ถูกต้องได้

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองสำนวนและแก้ไขคำฟ้องสำนวนแรก ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗, ๓๐๙ วรรคสอง, ๙๑, ๓๓ พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔, ๗, ๘, ๕๗, ๙๑, ๙๓, ๑๐๒ ริบอาวุธปืนและซองกระสุนของกลางและนับโทษจำเลยใน คดีทั้งสองสำนวนนี้ต่อกัน
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๗, ๙๑ จำคุก ๑ ปี ปรับ ๑๐,๐๐๐ บาท ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ หนึ่งในสี่ คงจำคุก ๙ เดือน ปรับ ๗,๕๐๐ บาท จำเลยไม่เคยมีประวัติ การกระทำผิดมาก่อน โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด ๒ ปี โดยคุมความประพฤติจำเลยมีกำหนด ๑ ปี และให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติรวม ๔ ครั้ง จนกว่าจะครบกำหนดการคุมความประพฤติ ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษทุกชนิด ไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗, ๓๐๙ วรรคสอง พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙๓ วรรคท้าย ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จำคุก ๑ ปี ฐานใช้กำลังประทุษร้ายข่มขืนใจให้หญิงเสพยาเสพติดให้โทษในประเภท ๑ เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙๓ วรรคท้าย อันเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ ให้ประหารชีวิต ลดโทษหนึ่งในสามทุกกระทงความผิด ฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จำคุก ๘ เดือน ฐานใช้กำลังประทุษร้ายข่มขืนใจให้หญิงเสพยาเสพติดให้โทษในประเภท ๑ ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๒ (๑) จำคุกตลอดชีวิต ส่วนความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก ๘ เดือน ไม่รอการลงโทษ ไม่คุมความประพฤติจำเลย และไม่ลงโทษปรับ เมื่อลงโทษจำคุกจำเลยตลอดชีวิตแล้วจึงไม่อานจำโทษจำคุกกระทงอื่นมารวมลงโทษได้ คงจำคุกจำเลยตลอดชีวิต ริบอาวุธปืนและซองกระสุนปืนของกลาง คำขอให้นับโทษต่อให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วคดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาข้อแรกของจำเลยว่าจำเลยกระทำความผิดฐานเป็น เจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ยุติว่า จำเลย นายสุรเดช นายอุทัย และ นายน้อย ได้ร่วมเล่นการพนันไพ่รัมมี่พนันเอาทรัพย์สินที่บ้านนายน้อย เห็นว่า แม้จำเลยจะเป็นเจ้าพนักงานตำรวจมีอำนาจหน้าที่ในการจับกุมผู้กระทำผิด แต่จำเลยกลับเป็นผู้ร่วมกระทำผิดด้วยการร่วมเล่นการพนันไพ่รัมมี่ แล้วจำเลยไม่จับกุมผู้เล่น ไพ่รัมมี่นั้น ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบโดยมีเจตนาพิเศษเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เล่นการพนันหรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงไม่มีความผิดฐานเป็น เจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ ดังที่โจทก์ฟ้อง ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังขึ้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาข้อสองของจำเลยว่า จำเลยได้ใช้กำลังประทุษร้ายและใช้อาวุธปืนข่มขืนใจให้นางบาหยัน ทองเถา และนางพรธิพร ทานะศิลป์ ผู้เสียหายทั้งสองเสพเมทแอมเฟตามีนหรือไม่
ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยได้ใช้กำลังประทุษร้ายและใช้อาวุธปืนข่มขืนใจให้ผู้เสียหายทั้งสองเสพ เมทแอมเฟตามีนโดยวิธีสูดรับเอาควันเข้าสู่ร่างกาย การกระทำดังกล่าวของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๐๙ วรรคสอง และพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙๓ วรรคท้าย อันเป็นการกระทำ กรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องทั้งสองฐานดังกล่าวนี้ โจทก์คงอุทธรณ์ขอให้ ลงโทษจำเลยเฉพาะความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๐๙ วรรคสอง เท่านั้น มิได้อุทธรณ์ขอให้ลงโทษฐานข่มขืนใจให้หญิงเสพยาเสพติดให้โทษ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙๓ วรรคท้าย ด้วย ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙๓ วรรคท้าย อันเป็นบทหนักตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ เป็นการพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดที่โจทก์มิได้อุทธรณ์ขอให้ลงโทษมาด้วย จึงเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลยไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๒ ศาลฎีกาพิพากษาคง ลงโทษจำเลยได้เพียงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๐๙ วรรคสอง ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
ในสำนวนแรก ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก ๘ เดือน ในสำนวนที่สองศาลฎีกาลงโทษจำเลยในความผิดฐานใช้กำลังประทุษร้ายข่มขืนใจผู้อื่นโดยใช้อาวุธปืน ซึ่งเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน และศาลต้องลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า เมื่อศาลชั้นต้นรวมการพิจารณาคดีทั้งสองเข้าด้วยกันแล้วไม่อาจนับโทษต่อกันได้ เพราะได้รวมการพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน ซึ่งไม่ถูกต้อง แต่โจทก์ไม่ฎีกาในปัญหาดังกล่าว ศาลฎีกาจึงไม่อาจพิพากษาให้นับโทษต่อกันตามที่ถูกต้องได้
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๐๙ วรรคสอง ให้จำคุก ๕ ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก ๓ ปี ๔ เดือน ให้ยกฟ้องโจทก์ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ และ พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙๓ วรรคท้าย นอกจากที่แก้ให้บังคับตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share