แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 7 มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่สั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย โดยให้เหตุผลว่า อุทธรณ์ของจำเลยเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง และคดีมีทุนทรัพย์ไม่เกิน 50,000 บาทจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 236 บัญญัติว่า คำสั่งนี้ให้เป็นที่สุด ดังนี้จำเลยยื่นฎีกาคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 7 ไม่ได้ ไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาล
จำเลยเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 ไม่ได้ห้ามคู่ความฎีกา เพียงแต่บัญญัติว่าคดีถึงที่สุด ศาลชั้นต้นควรรับฎีกาแล้วส่งให้ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคดีถึงที่สุดหรือไม่ และการที่จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวเกี่ยวกับทุนทรัพย์ว่าควรกำหนดเท่าใดในชั้นอุทธรณ์เพราะจำเลยเห็นว่าคดีนี้ไม่มีทุนทรัพย์และหากมีทุนทรัพย์แต่ศาลมิได้ตีราคาทุนทรัพย์ จึงทำให้คดีของจำเลยต้องห้ามอุทธรณ์ทำให้จำเลยเสียหายเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 156)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรับชำระเงินจากโจทก์จำนวน 15,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 กันยายน 2533 ไปจนกว่าจะชำระแก่จำเลยเสร็จสิ้น และเมื่อจำเลยได้รับชำระหนี้ดังกล่าวครบถ้วนแล้ว ให้จำเลยเวนคืนสัญญากู้ยืมเงิน เอกสารหมาย ล.1 และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1388ตำบลห้วยทรายเหนืออำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี แก่โจทก์ คำขออื่นของโจทก์ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์
จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 มีคำสั่งให้ยกคำร้อง (อันดับ 147)
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 148)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 150)
คำสั่ง
คำสั่งศาลอุทธรณ์เป็นที่สุดแล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 236 ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง