คำสั่งคำร้องที่ 1827/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220ไม่รับฟ้องฎีกา
โจทก์เห็นว่า ฎีกาของโจทก์เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โดยฎีกาข้อ ก เป็นปัญหาว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดไปจากพยานหลักฐานในสำนวน และฎีกาข้อ ข เป็นปัญหาว่าคดีความผิดฐานเบิกความเท็จนั้นความผิดเกิดขึ้นตั้งแต่จำเลยเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาต่อศาลในคดีนั้นแล้ว แต่ศาลอุทธรณ์มิได้หยิบปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยจึงเป็นการไม่ชอบ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 16)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 17)

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเบิกความตามที่เชื่อโดยสุจริต ซึ่งหมายความว่าจำเลยไม่มีเจตนาเบิกความเท็จ ดังนั้น ปัญหาตามฎีกาของโจทก์ที่ว่าที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยมิได้เบิกความยืนยันว่าโจทก์เบียดบังทรัพย์ตามเอกสารหมาย จ.3 ไปทั้งหมด เป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดไปจากพยานหลักฐานในสำนวนกับที่ฎีกาว่าที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าอุทธรณ์โจทก์ในปัญหาว่าการฟ้องคดีเกี่ยวกับการเบิกความเท็จไม่จำต้องรอให้ศาลที่พิจารณาคดีที่จำเลยเบิกความเท็จชี้ขาดเสียก่อน ไม่เป็นสาระแก่คดีไม่จำต้องวินิจฉัย เป็นปัญหาข้อกฎหมายนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าแม้จะได้วินิจฉัยปัญหาตามที่โจทก์ฎีกาให้ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์เป็นอย่างอื่นได้ ปัญหาดังกล่าวจึงเป็นข้อกฎหมายไร้สาระที่ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกา ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ให้ยกคำร้อง

Share