แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่าฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 219 จึงไม่รับ
จำเลยเห็นว่า ฎีกาจำเลยเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า โจทก์เป็นผู้เสียหายหรือไม่ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 ฯลฯและประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งให้ประทับฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ให้ลงโทษตามเช็คฉบับแรกจำคุก 3 เดือน เช็คฉบับที่สองลงโทษจำคุก 6 เดือน เช็คฉบับสุดท้ายลงโทษจำคุก 3 เดือน รวมเป็นลงโทษจำคุกทั้งสิ้น 1 ปี
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 105)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 106)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยออกเช็คพิพาท3 ฉบับ ชำระหนี้ค่าเช่าซื้อรถขุดไฮดรอลิกแก่โจทก์ และโจทก์เป็นผู้ทรงเช็ค ดังนี้เท่ากับศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าเช็คพิพาททั้งสามฉบับมีมูลหนี้ต่อกัน และโจทก์เป็นผู้เสียหายฉะนั้น ที่จำเลยฎีกาว่าเช็คพิพาททั้งสามฉบับไม่มีมูลหนี้ต่อกันโจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายนั้นจึงเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงว่าเช็คพิพาททั้งสามฉบับมีมูลหนี้ต่อกันหรือไม่ มิใช่เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายแต่อย่างใด จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218ให้ยกคำร้อง