แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของโจทก์เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต่างพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริงอันต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 จึงไม่รับโจทก์เห็นว่า ฎีกาของโจทก์เป็นปัญหาข้อกฎหมายซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งคดีอันควรได้รับการพิจารณาจากศาลสูง โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยทั้งสองได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175,177 วรรค 2 ประกอบมาตรา 83และมาตรา 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 48)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 49)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า เช็คพิพาทที่โจทก์สั่งจ่ายชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ 1 มิใช่เป็นการค้ำประกัน เมื่อจำเลยที่ 1ในฐานะผู้ทรงเช็คเรียกเก็บเงินจากโจทก์ไม่ได้ ได้มอบให้จำเลยที่ 2ฟ้องโจทก์และจำเลยที่ 2เบิกความตามข้อเท็จจริงตามฟ้อง จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำผิดตามที่โจทก์ฟ้อง พิพากษายกฟ้อง และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จึงเป็นคดีที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 โจทก์ฎีกาว่า เช็คที่โจทก์สั่งจ่ายเป็นการค้ำประกันสัญญาซื้อขาย มิใช่ชำระหนี้ การที่จำเลยฟ้องโจทก์จึงเป็นความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง เป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานทั้งสิ้น จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้วให้ยกคำร้อง