แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา พร้อมทั้งยื่นคำร้องขอยื่นฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องขอยื่นฎีกาว่า ไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมที่ได้สั่งไว้ในคำร้องลงวันที่ 8 กรกฎาคม 2530 ของโจทก์ ให้ยกคำร้องและศาลก็ยังสามารถที่จะส่งให้โจทก์ได้ แต่การที่ศาลใช้วิธีการปิดประกาศหน้าศาลแทนการส่งหมายให้โจทก์ทั้ง ๆ ที่สามารถส่งหมายนัดให้แก่โจทก์โดยวิธีธรรมดาได้นั้น จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 79 และถือไม่ได้ว่าโจทก์ทราบนัดโดยชอบด้วยกฎหมายแล้วจึงขอศาลฎีกาได้โปรดมีคำสั่งว่า การส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ของศาลชั้นต้นให้แก่โจทก์นั้นเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายและให้ถือว่าโจทก์ทราบและฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในวันที่8 กรกฎาคม 2530 พร้อมทั้งโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้โดยถือว่าโจทก์ได้ยื่นภายในกำหนดด้วย
หมายเหตุ ทนายจำเลยที่ 1 ที่ 2 แถลงคัดค้าน (อันดับ 166)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนเพิกถอนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 39 เลขที่ดิน 22หน้าสำรวจ 39 ตำบลบางโทรัด อำเภอเมืองสมุทรสาคร (บ้านบ่อ)จังหวัดสมุทรสาคร ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 เฉพาะส่วนของจำเลยที่ 1 ที่โอนให้แก่จำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม2518 และเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2525 ทั้งสองครั้ง ณสำนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรสาคร แล้วให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ดังกล่าวจำนวนเนื้อที่ 8 ไร่โดยวัดจากด้านทิศใต้ติดถนนขึ้นไปให้แก่โจทก์ โดยให้โจทก์ชำระเงินค่าที่ดินที่เหลือจำนวน 13,000 บาท ให้แก่จำเลยที่ 1หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติ ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสองให้โจทก์ไปดำเนินการโดยให้จำเลยทั้งสองเสียค่าใช้จ่ายและให้จำเลยที่ 1 ชำระเบี้ยปรับจำนวน70,000 บาทแก่โจทก์ โดยให้โจทก์มีสิทธิหักเงินค่าที่ดินที่ค้างชำระออก ซึ่งหากโจทก์หักเงินค่าที่ดินที่ค้างชำระออกดังกล่าวก็ให้จำเลยที่ 1 ชำระเบี้ยปรับแก่โจทก์เพียง 57,000 บาทถ้าหากจำเลยที่ 1 ไม่สามารถจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ได้ก็ให้จำเลยที่ 1 คืนเงินมัดจำจำนวน 35,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันที่ 11 เมษายน 2512 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ (สำหรับดอกเบี้ยนับถึงวันฟ้องคิดให้ไม่เกิน 37,850 บาทตามที่โจทก์ขอ) กับให้จำเลยที่ 1 ใช้เบี้ยปรับจำนวน 70,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในเงินต้นดังกล่าวนับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ด้วยคำขออื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยกเสีย
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม2530 โดยโจทก์มิได้มาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ต่อมาทนายโจทก์ยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 8 กรกฎาคม 2530ขอฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยอ้างว่าไม่ทราบวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าการปิดประกาศแจ้งวันนัดให้โจทก์ทราบแทนการส่งหมายไว้ที่หน้าศาล เป็นการส่งตามข้อความในคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 76 ดังนั้นจึงถือว่าโจทก์ทราบวันนัดแล้ว ฯลฯ ที่ทนายโจทก์อ้างว่าได้แจ้งย้ายที่อยู่ให้เจ้าหน้าที่ศาลทราบแล้วนั้นเห็นว่าเป็นการไม่ชอบไม่มีผลตามกฎหมาย ฯลฯ ให้ยกคำร้อง
โจทก์ฎีกาพร้อมทั้งยื่นคำร้องขอยื่นฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับดังกล่าว (อันดับ 143,138)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 145)
คำสั่ง
พิเคราะห์คำร้องโจทก์รวมทั้งฉบับที่ขอแก้ไขเพิ่มเติมแล้วเห็นว่าการที่ศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในวันที่20 พฤษภาคม 2530 นั้น แม้การส่งหมายแก่ทนายโจทก์ไม่อาจกระทำได้แต่การส่งให้แก่ตัวโจทก์โดยวิธีธรรมดาก็อาจกระทำได้ เพราะตัวโจทก์คงมีภูมิลำเนาอยู่ที่เดิมตามฟ้อง ยังไม่ชอบที่จะสั่งให้ส่งโดยวิธีอื่นแทนโดยการปิดประกาศหน้าศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79 ดังนั้น เมื่อตัวโจทก์หรือทนายโจทก์ไม่มาตามนัดก็ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้ทราบนัดและได้ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในวันที่ 20 พฤษภาคม 2530 ต้องถือว่าศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ฟังเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2530ตามคำร้อง ที่โจทก์ยื่นฎีกาเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2530 จึงเป็นการยื่นภายในกำหนดหนึ่งเดือนตามมาตรา 247 ให้รับฎีกาโจทก์และให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป